นักจิตวิทยา ชี้ปะทะชายแดน กระทบความเป็นอยู่ ปชช. พบเครียดสะสมเสี่ยงซึมเศร้า-ทำร้ายตนเอง

วันนี้ (17 ธ.ค.2568) สถานการณ์ที่ยังไม่แน่ชัดว่า การปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา จะสิ้นสุดเมื่อใด แต่ผลกระทบด้านแรงงาน และการศึกษาของเด็กๆ ที่ชะงักงัน เกิดขึ้นแล้ว เช่นเดียวกับสภาพจิตใจของประชาชนในศูนย์พักพิง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง บางส่วนเริ่มเกิดภาวะเครียด จนเสี่ยงที่จะทำร้ายตนเอง นักจิตวิทยา เสนอว่า ภาครัฐและกองทัพ ควรสื่อสารข้อมูลกับประชาชนให้ชัดเจน เพื่อให้พวกเขาได้วางแผนชีวิต นายสุววุฒิ วงศ์ทางสวัสดิ์ นักจิตวิทยาการปรึกษา ระบุว่า เหตุปะทะในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้ประชาชนตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวและไม่มั่นคงทางจิตใจ เนื่องจากเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด มีการสูญเสียจริง และไม่รู้ว่าสถานการณ์จะยุติเมื่อใด การอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิง แม้ปลอดภัยแต่ไม่ใช่วิถีชีวิตปกติ ทำให้ต้องปรับตัวสูงและเกิดความเครียดสะสม เสี่ยงภาวะซึมเศร้า นอนไม่หลับ และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนยังส่งผลต่อปากท้องและการทำมาหากิน โดยเฉพาะผู้ที่พึ่งพารายได้ในพื้นที่ เมื่อไม่สามารถทำงานได้ เปรียบเสมือนถูกตัดรายได้ ท่ามกลางภาระค่าใช้จ่าย ครอบครัว และการศึกษา บางรายอาจจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐาน ทั้งที่ไม่รู้อนาคตหรือมีต้นทุนเพียงพอหรือไม่ นักจิตวิทยา มองว่า ภาครัฐและกองทัพมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนชีวิตได้ พร้อมเสนอให้มีมาตรการช่วยเหลือด้านอาชีพและคุณภาพชีวิตในช่วงอพยพ เพื่อไม่ให้ประชาชนรู้สึกไร้บ้านหรือสูญเสียศักดิ์ศรี ส่วนประชาชนที่ติดตามข่าว อาจเกิดทั้งความเศร้าและความโกรธแค้น แนะนำให้จำกัดการเสพข่าว สังเกตสภาพจิตใจตนเอง และหากิจกรรมอื่นช่วยผ่อนคลาย เพื่อลดความเครียดสะสมในระยะยาว ทั้งนี้ประชาชนกว่า 260,000 คน ใน 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา อพยพจากบ้านไปอยู่ศูนย์พักพิง โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ได้คัดกรองสุขภาพจิตประชาชนภายในศูนย์พักพิงไปแล้ว กว่า 150,000 คนพบเครียดสูงสะสม กว่า 1,300 คน และเสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 169 คน ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ ก็ต้องคัดกรองสุขภาพจิตเช่นกัน ทำไปแล้วกว่า 6,000 คน พบเครียดสูงสะสม 412 คน เสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 140 คน ทั้งหมดได้รับการปฐมพยาบาลทางจิตใจ และติดตามอย่างต่อเนื่องจนกว่าอาการจะดีขึ้น ผลกระทบแรงงาน-การศึกษา รศ.รัตติยา ภูละออ อาจารย์ประจำวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยข้อมูลจากวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า สถานการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา กระทบต่อการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติในประเทศ เพราะแรงงานกัมพูชา กว่า 1,200,000 คน ทั้งในและนอกระบบ หายไปจนเหลือประมาณ 440,000 คน ทำให้ภาคก่อสร้าง เกษตรกรรม ประมง และบริการ ขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก ส่วนมาตรการหาแรงงานจากกลุ่มประเทศใหม่มาทดแทน อาจช่วยบรรเทาได้ระยะสั้น แต่ระยะยาว อาจมีปัญหาด้านการคุ้มครองสิทธิแรงงาน จากการที่แรงงาน ถูกผลักเป็นแรงงานผิดกฎหมาย หากไม่มีแผนรองรับการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติทุกกลุ่มไว้เบื้องต้น ส่วนผลกระทบจากการปิดโรงเรียนกว่า 1,000 แห่งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นเวลานาน  ข้อมูลขององค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย พบว่ามีเด็กที่ต้องหยุดเรียนหลายหมื่นคนไปอยู่ศูนย์อพยพ กำลังเผชิญกับความหวาดกลัว ความตึงเครียด และความกังวล ยิ่งหากการปะทะยังคงยืดเยื้อ ก็อาจซ้ำรอยช่วงโควิด-19 คือการเรียนรู้ของเด็กหยุดชะงัก เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา เนื่องจากงานวิจัยหลายชิ้น พบว่า การสอนชดเชยออนไลน์ มีประสิทธิภาพไม่ถึงครึ่ง หากเทียบกับการเรียนในห้องเรียน นอกจากการศึกษา ยูนิเซฟชี้ว่า กิจวัตรประจำวันของเด็กในศูนย์พักพิงยังหยุดชะงัก ทำให้เด็กๆ ขาดโอกาสในการเรียนรู้ ซึ่งส่งผลต่อปัญหาสุขภาวะด้านอารมณ์ด้วย อ่านข่าว : ทีมจิตแพทย์เร่งดูแล ชาวกันทรลักษ์กังวล หนี้สิน-ไร้งาน-ปะทะไม่สิ้นสุด พื้นที่ตาควาย - เนิน 350 ปะทะหนัก ทหารไทยพลีชีพ 2 นาย ครม.ไฟเขียวงบกลาง 2.4 พันล้าน ให้กองทัพรับมืออริราชศัตรูชายแดน