"บ้านปลามีชีวิต" งานวิจัยผสานภูมิปัญญา ฟื้นทรัพยากรสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา

"บ้านปลา" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ซั้ง" คือการจำลองที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำ ที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวประมงพื้นบ้าน ที่มีการนำกิ่งไม้ไปกองไว้ให้ปลามาอาศัยอยู่แล้วล้อมอวนเพื่อจับปลาที่มาอาศัยในบริเวณนั้น จากวิธีการจับปลาของชาวประมงพื้นบ้านได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำในปัจจุบันนี้ บ้านปลาทำจากวัสดุธรรมชาติ และวัสดุอื่น ๆ ที่ไม่เป็นมลพิษในแหล่งน้ำ เช่น กิ่งไม้ ทางมะพร้าว และแท่งคอนกรีต เป็นต้น ตรงไหนที่มีบ้านปลาก็จะมีสัตว์น้ำขนาดเล็กมาเกาะและปลามาอยู่อาศัย ถือเป็นแหล่งอาหารชั้นดีที่เหมาะกับการซ่อนตัว และพักไข่ เป็นบ้านใหม่ที่ช่วยเพิ่มโอกาสการอยู่รอดให้กับเหล่าลูกปลาทั้งหลาย บ้านปลามีสองรูปแบบคือ บ้านปลาแบบซั้งเชือก และแบบซั้งกอ ซั้งเชือกประกอบด้วยหุ่นลอยน้ำด้านล่างต่อด้วยเชือกยาวลงไป และผูกวัสดุที่หาได้ตามธรรมชาติ เช่น กิ่งไม้ ที่แผ่กิ่งก้านได้ดี ส่วนด้านล่างจะผูกหรือถ่วงด้วยก้อนหินหรือแท่งปูน บ้านปลาแบบซั้งเชือกจะนิยมทำบริเวณชายฝั่งของทะเลนอก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่น้ำลึกและกระแสน้ำค่อนข้างแรง ส่วนบ้านปลาแบบซั้งกอจะเป็นกิ่งไม้มากองไว้เพื่อเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลา ในบางครั้ง จะมีการนำไม้ไผ่มาทำเป็นคอกสี่เหลี่ยมและใส่กิ่งไม้ไว้ด้านใน ซั้งกอนิยมทำกันมากในทะเลสาบสงขลา เนื่องจากความลึกของน้ำบริเวณชายฝั่งทะเลสาบสงขลาไม่ลึกมากนัก การทำบ้านปลาแบบซั้งกอจึงมีความเหมาะสมมากกว่า การทำบ้านปลาในทะเลสาบสงขลามีการทำมานานกว่าสิบปี เป็นกิจกรรมการอนุรักษ์ของชุมชนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงแม้ว่ามีการทำบ้านปลาในทะเลสาบสงขลามาเป็นเวลานาน แต่อย่างไรก็ตาม การทำบ้านปลาในทะเลสาบสงขลาก็ยังคงมีความจำเป็นอยู่ เพราะพื้นที่แห่งนี้เป็น "อู่ข้าวอู่น้ำ" สำคัญของชุมชนที่อาศัยอยู่รอบพื้นที่ เป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งทำมาหากิน และฐานทรัพยากรที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของผู้คนในลุ่มน้ำ นวัตกรรม "บ้านปลามีชีวิต" ของชุมชนบ้านใหม่ ต.สทิงหม้อ อ.สิงหนคร จ.สงขลา เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นผนวกกับการปลูกต้นโกงกาง เป็นนวัตกรรมที่เลียนแบบป่าชายเลนซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย และเป็นแหล่งอาหาร และที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ บ้านปลาแบบนี้จะเป็นลักษณะการทำบ้านปลาแบบซั้งกอ โดยทำคอกไม้ไผ่และปลูกต้นโกงกางไว้ตรงกลางบ้านปลา โดยปลาจะสามารถอาศัยที่บริเวณรากของต้นโกงกาง นอกจากนี้ ใบของต้นโกงกางที่ร่วงหล่นจะเป็นอาหารของปลาได้ด้วย ส่วนกิ่งไม้ที่ใช้ปักล้อมรอบต้นโกงกาง ได้แก่ กิ่งเสม็ดขาว ทางมะพร้าว และทางปาล์ม หรือกิ่งไม้อื่นๆ ที่มีในพื้นที่ การใส่กิ่งไม้นอกจากจะมีประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัยของปลา ยังเป็นตัวช่วยป้องกันคลื่นลมที่แรงให้ต้นโกงกางให้สามารถเจริญเติบโตได้ ผศ.ดร.เตือนตา ร่าหมาน อาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยทักษิณ กล่าวถึงโครงการวิจัย “การจัดการเครือข่ายเชิงพื้นที่ด้วยการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้บนฐานภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อสร้างต้นแบบการพัฒนาชุมชนปลาสามน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา” เป็นโครงการภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ซึ่งริเริ่มดำเนินการเมื่อปี 2565 ต่อเนื่องถึงปี 2566 ในพื้นที่ 2 จังหวัด 13 ตำบล ประกอบด้วย 7 ตำบล ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง และ 6 ตำบล ในจังหวัดสงขลา เป้าหมายสำคัญของโครงการวิจัยนี้ คือการพัฒนาชุมชนปลาสามน้ำด้วยการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้บนฐานภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยการจัดการเครือข่ายเชิงพื้นที่และนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี หนึ่งในพื้นที่ที่เข้าร่วมคือ ชุมชนบ้านใหม่ หมู่ 1 ต.สทิงหม้อ อ.สิงหนคร จ.สงขลา ซึ่งกำลังประสบปัญหาทรัพยากรสัตว์น้ำลดลง ส่งผลต่อรายได้ของชาวประมง แม้ชุมชนจะมีการทำเขตอนุรักษ์และซั้งบ้านปลามาก่อนแล้ว แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าทรัพยากรเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ปี 2564 ทีมวิจัยได้เริ่มทำงานร่วมกับชุมชน ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาที่นำมาใช้เป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก ชุมชนสามารถทำได้ โดยผนวกภูมิปัญญาชาวบ้าน เรื่องของการทำซั้งบ้านปลา และเขตอนุรักษ์ เข้าด้วยกันกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี และเรื่องของการประมวลผล เดิมทีซั้งบ้านปลาของชุมชนเป็นคอกไม้ไผ่สี่เหลี่ยมที่ใช้กิ่งไม้สุมเป็นที่หลบภัยของปลา แต่มีข้อจำกัดเรื่องอายุการใช้งานเพียง 6 เดือน ต้องซ่อมแซมบ่อยครั้ง ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ ทีมวิจัยจึงนำแนวคิดใหม่มาปรับปรุง ด้วยการ ปลูกต้นโกงกางภายในซั้งปลา เพื่อให้เป็น “บ้านปลามีชีวิต” ซึ่งเป็นชื่อที่ชุมชนตั้งขึ้นเอง ต้นโกงกางมีระบบรากที่แตกแขนงด้านข้าง เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ดีของสัตว์น้ำ อย่างไรก็ตาม การปลูกโกงกางในพื้นที่ที่มีน้ำขึ้นน้ำลงตลอดเวลาอาจทำให้ต้นตายได้ ทีมวิจัยจึงคิดค้นวิธีใหม่โดย ใช้ ท่อ PVC เป็นเกราะป้องกันกระแสน้ำ ใส่โคลน ปลูกต้นโกงกางและยึดด้วยไม้ไผ่ วิธีนี้ช่วยเพิ่มอัตราการรอดของกล้าโกงกางได้มากกว่าการปลูกแบบเดิม แม้พื้นที่ดังกล่าวจะเป็น “เขตน้ำ 3 รส” คือ น้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำกร่อย ซึ่งมีความท้าทายสูงต่อการเจริญเติบโตของพืชน้ำกร่อยก็ตาม ซั้งบ้านปลาที่พัฒนาใหม่ทำหน้าที่เป็น Safe Zone ให้สัตว์น้ำหลบภัย วางไข่ อนุบาลตัวอ่อน และผสมพันธุ์ ทำให้ระบบนิเวศกลับมามีความสมบูรณ์ตามธรรมชาติในทุกช่วงฤดูกาล อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นแบบในการจัดการทรัพยากรโดยชุมชนอย่างมีส่วนร่วม เป้าหมายต่อไปของโครงการ คือการเพิ่มมูลค่าด้านเศรษฐกิจแก่ชุมชนผ่านแนวคิด "อนุรักษ์ที่กินได้" เมื่อทรัพยากรทะเลกลับมาสมบูรณ์ ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์อย่างสมดุลควบคู่กับการอนุรักษ์ โดยมีแผนพัฒนาต่อยอด อาทิ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการท่องเที่ยวชุมชน การพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทะเล การจำหน่ายสินค้าโดยตรงจากชาวประมง โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือโครงสร้างการทำงานที่เป็นระบบของชุมชน และความเสียสละของสมาชิกกลุ่ม ซึ่งแม้หลายคนจะไม่ได้ประกอบอาชีพประมงโดยตรง แต่ยังร่วมกันทำงานเพื่อฟื้นฟูทะเลสาบสงขลาอย่างจริงจัง เพราะหวังให้เยาวชนลูกหลานได้เห็นและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์เช่นเดิม อุไรพรรณ หมอชื่น กลุ่มอนุรักษ์ชายฝั่งและฟาร์มทะเลชุมชนบ้านใหม่ เปิดเผยถึงสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลในพื้นที่ว่า ชาวบ้านและชาวประมงพื้นบ้านกำลังประสบปัญหาปลาและกุ้งลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายครอบครัวต้องออกไปทำงานนอกพื้นที่ ทั้งงานก่อสร้างและโรงงาน แต่ก็ยังติดข้อจำกัดด้านอายุและเพศ จนชุมชนร่วมกันหารือและมีมติจัดตั้งเขตอนุรักษ์สัตว์น้ำ ห่างจากฝั่ง 500 เมตร เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล เริ่มต้นชุมชนได้ทำซั้ง หรือบ้านปลา ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิม ใช้กิ่งไม้สร้างคอกขนาด 4 x 4 เมตร เพื่อดึงดูดสัตว์น้ำให้เข้ามาอยู่อาศัย โดยออกแบบให้ไม่กีดขวางเส้นทางเดินเรือ แม้ช่วงแรกชาวบ้านบางส่วนกังวลว่าเขตอนุรักษ์จะจำกัดพื้นที่ทำกิน แต่เมื่อเริ่มเห็นผล—ทั้งปลาและกุ้งกลับมาเพิ่มขึ้น ชุมชนก็เริ่มเปิดใจและเห็นประโยชน์ของการอนุรักษ์ร่วมกัน ชาวประมงอาสาและเจ้าหน้าที่ประมงพื้นที่ได้เข้ามาให้ความรู้เพิ่มเติม เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นในชุมชน ทำให้สัตว์น้ำหลายชนิดที่เคยหายไปเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง “ปลากดขี้ลิง” หรือ ปลากดทะเล สัตว์น้ำพื้นถิ่นที่หายไปจากพื้นที่นานเกือบ 10 ปี แต่เมื่อชาวบ้านเริ่มทำแนวเขตอนุรักษ์สัตว์น้ำตั้งแต่ปี 2558 โดยจำกัดการทำประมงในพื้นที่ ฟื้นฟูซั้งบ้านปลา ความพยายามอย่างต่อเนื่องทำให้ในปี 2562 ชาวประมงเริ่มพบปลากดขี้ลิงกลับเข้ามาในพื้นที่อีกครั้ง โดยชาวประมงเคยจับได้ปลากดขี้ลิงที่มีน้ำหนักกว่า 5.2 กิโลกรัม ซึ่งสะท้อนถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและคุณภาพแหล่งน้ำ นอกจากปลากดขี้ลิงแล้ว สัตว์น้ำชนิดอื่น เช่น ปลากะพงขาว กะพงแดง กุ้งทะเล ปูดำ และปลากระบอก ก็เพิ่มปริมาณขึ้นด้วย ปัจจุบันพื้นที่บ้านปลามีประมาณ 35 หลัง ครอบคลุมพื้นที่ราว 300 ไร่ ความยาวจากฝั่ง 500 เมตร และกว้างประมาณ 800 เมตร มีการดูแลซ่อมแซมทุก 3–6 เดือน และมีการเพิ่มบ้านปลาไปแล้วกว่า 20 หลัง อย่างไรก็ดี การขยายพื้นที่อนุรักษ์ยังมีข้อจำกัดด้านการใช้ทะเลร่วมกัน โดยเฉพาะเส้นทางเดินเรือ รวมถึงความยากลำบากในการขนส่งท่อและอุปกรณ์ไปในพื้นที่น้ำลึกที่อยู่ไกลออกไป อุไรพรรณระบุว่า นวัตกรรมที่นำมาใช้ช่วยลดต้นทุนการซ่อมแซมซั้ง ทำให้ไม่ต้องใช้ไม้ไผ่หรือกิ่งไม้มากเหมือนเดิม เมื่อป่าชายเลน โดยเฉพาะโกงกาง เริ่มเติบโต รากที่แผ่ขยายจะกลายเป็นที่อยู่นานาชนิดของสัตว์น้ำ ช่วยลดการเสื่อมสภาพของบ้านปลาแบบเก่าที่ต้องซ่อมทุก 6 เดือน โดยกิ่งไม้ที่นิยมใช้คือ “เสม็ดขาว” เนื่องจากย่อยสลายช้า เนื้อเหนียว และเป็นที่ชื่นชอบของปลาหลายชนิด ชุมชนยังได้จัดตั้งกติกาท้องถิ่น เพื่อคุ้มครองเขตอนุรักษ์ เช่น ห้ามทำประมงในรัศมี 500 เมตร กรรมการกลุ่มหากจับปลาในเขตจะถูกถอดจากตำแหน่ง ผู้ที่ทำบ้านปลาเสียหายต้องซ่อมภายใน 7 วัน มิฉะนั้นต้องจ่ายค่าปรับ ผู้ขับเรือที่เข้ามาก่อกวนจะถูกตักเตือนหรือปรับตามกติกา กติกาเหล่านี้ถูกเผยแพร่ไปยังชุมชนต่าง ๆ พร้อมจัดทำประชาสังคมและบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อให้ทุกฝ่ายรับรู้ร่วมกัน โดยชุมชนอยากผลักดันให้กติกาท้องถิ่นเหล่านี้กลายเป็นกฎหมายรองรับอย่างเป็นทางการในอนาคต ทั้งนี้ผลจากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา พบว่าในพื้นที่ชุมชนต่างๆ มีรูปแบบการทำบ้านปลาที่แตกต่างกันไปขึ้นกับบริบทของพื้นที่ โดยหลังจากทำบ้านปลาแล้วชุมชนสามารถประเมินผลและติดตามการทำบ้านปลาได้ด้วยตัวเอง ทั้งในมิติการเปรียบเทียบประเมินผลการทำบ้านปลาในเชิงพื้นที่และเชิงเวลา จากการประเมินผลการทำบ้านปลาที่ชุมชนบ้านชายคลอง พบว่า ในบริเวณที่มีการทำบ้านปลาจะมีสัตว์น้ำจำนวน 14 ชนิด คือ ปลาจำนวน 13 ชนิด และกุ้ง 1 ชนิด ประกอบด้วย ปลานิล ปลาสลาด ปลากดหัวโม่ง ปลาแขยงนวล ปลากดเหลือง ปลาแมว ปลาเสือพ่นน้ำ ปลาสร้อยนกเขา ปลากระสูบขีด ปลาตะเพียน และปลาแก้มช้ำ ปลาดุกทะเล ปลากระทิง และ กุ้งก้ามกราม ในทางตรงกันข้าม บริเวณที่ไม่มีการทำบ้านปลามีปลาเพียง 2 ชนิด คือ ปลานิล และปลากดหัวโม่ง น้ำหนักของปลาในบริเวณที่มีการทำบ้านปลาเฉลี่ย 46.33 กิโลกรัม ส่วนในพื้นที่ที่ไม่มีการทำบ้านปลามีน้ำหนักของปลาเฉลี่ย 1.20 กิโลกรัม สำหรับรายได้ของชาวประมงพื้นบ้าน พบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้นหลังจากทำบ้านปลา โดยก่อนจะทำบ้านปลาชาวประมงมีรายได้เฉลี่ย 16,000-24,000 บาท/เดือน และรายได้หลังการทำบ้านปลาเฉลี่ย 40,000-52,000 บาท (รายได้จะขึ้นกับฤดูกาล เครื่องมือประมงและจำนวนครั้งในการทำประมง) ทั้งนี้ชุมชนยังมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำบ้านปลา การปลูกป่าโกงกางและด้วยวิถีชีวิตของชุมชนยังคงผูกพันกับทะเลและภูมิปัญญาการอยู่การกินที่สืบทอดกันยาวนาน ทั้งอาหารพื้นบ้าน การทำประมงพื้นบ้าน พบว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งล่อเรือชมวิถีประมง การทำบ้านปลามีชีวิต ชมระบบนิเวศและการจัดการอนุรักษ์ป่าชายเลน เป็นต้น การจัดการเครือข่ายอนุรักษ์สามารถแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซนตามนิเวศของทะเลสาบ และมีการบูรณาการการทำงานแผนการจัดการอนุรักษ์ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาร่วมกับแผนพัฒนาตำบล/แผนพัฒนาท้องถิ่น รวมถึงการจัดตั้งเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ซึ่งจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนงานด้านการอนุรักษ์ต่อไปให้สามารถผลักเป็นนโยบายสาธารณะ ขณะเดียวกันยังได้มีการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต่อยอดมาจากการอนุรักษ์เพื่อเป็นการสร้างรายได้เสริมให้กับชุมชนนั้น หลังเสร็จสิ้นโครงการได้มีโปรแกรมกิจกรรมและเส้นทางท่องเที่ยวของทั้ง 4 ชุมชน ที่มีความเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ ขณะที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ดำเนินการร่วมกันระหว่างชุมชนและทีมวิจัยจนได้ผลิตภัณฑ์ชุมชน 5 ผลิตภัณฑ์ คือ ผลิตภัณฑ์อาหารชนิดพร้อมบริโภค (Ready to eat) และพร้อมปรุง (Ready to cook) จากปลาสามน้ำ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์น้ำพริกปลาลูกเบร่ สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ข้าวพองหน้าปลาลูกเบร่ ปลาบุตรีผสมเห็ดอบกรอบ ปลานิลส้มที่มีส่วนผสมของข้าวสังข์หยด ส้มฟักจากปลานิลที่มีส่วนผสมของข้าวพันธุ์พื้นเมือง นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้มีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ และวางแผนการตลาดสำหรับสินค้าแต่ละชนิด รวมถึงการจัดการการตลาดที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชน และด้วยความโดดเด่นของนวัตกรรมทำให้ “บ้านปลามีชีวิต” ได้รับรางวัลระดับดีเด่นประเภทนวัตกรรมเทคโนโลยีที่เหมาะสม ในงานชุมชนนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้ ปีที่ 2 และคว้ารางวัล SILVER MEDAL จากเวที "2024 Kaohsiung International Invention and Design EXPO" (KIDE 2024) ซึ่งเป็นเวทีประกวดนวัตกรรมระดับนานาชาติ ที่ประเทศไต้หวันได้อีกด้วย นวัตกรรมบ้านปลามีชีวิตจึงไม่เพียงเป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการผสานองค์ความรู้ดั้งเดิมเข้ากับแนวคิดด้านนิเวศวิทยา สร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อความยั่งยืนของชุมชนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในระยะยาว อ่านข่าว : ผลงานวิจัยนวัตกรรมติดดิน สังเคราะห์ข้อมูล 4 ภูมิภาค ดันสู่แผนพัฒนาฯ ฉ.14 สภาพัฒน์ โชว์วิจัย "ติดดิน กินได้" เครือข่าย มทร.-มรภ.เพิ่มรายได้ เสริมคุณภาพชีวิตประชาชนภาคใต้ เปิดแคตตาล็อกนวัตกรรมพร้อมใช้มหาวิทยาลัยทั่วอีสาน ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก