สิ้นสุดบทเฉพาะกาล! เลือกตั้ง 2569 "นายกรัฐมนตรี" จากเสียง สส. ไร้ สว. ร่วมโหวต

ประเทศไทยได้ก้าวพ้นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านสำคัญทางการเมือง ภายหลังบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่ให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้หมดอายุลงเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2564 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีครั้งต่อ ๆ ไป จะต้องมาจากมติของสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เพียงสภาเดียวเท่านั้น ซึ่งถือเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจเลือกผู้นำประเทศให้แก่ประชาชนอย่างสมบูรณ์ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 วุฒิสภาชุดแรกประกอบด้วยสมาชิก 250 คนที่มาจากการคัดเลือกโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยบทเฉพาะกาลได้กำหนดให้ สว. ชุดนี้มีอำนาจร่วมกับ สส. ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วง 5 ปีแรก กลไกดังกล่าวส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลในอดีตต้องพึ่งพามติจากวุฒิสภาเป็นสำคัญ ในครั้งนั้น ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องได้รับเสียงสนับสนุนรวมกันมากกว่ากึ่งหนึ่งของรัฐสภา (มากกว่า 376 เสียงจาก 750 เสียง) อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก สถาบันระหว่างประเทศเพื่อความช่วยเหลือด้านประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง (International IDEA) ระบุว่า อำนาจพิเศษดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้วพร้อมกับการหมดวาระของ สว. ชุดบทเฉพาะกาล การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นจึงเป็นระบบที่ สว. ไม่มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป โดยวุฒิสภาชุดใหม่ที่ประกอบด้วยสมาชิก 200 คน ซึ่งได้รับเลือกผ่านระบบกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม จะทำหน้าที่หลักเพียงการกลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระเท่านั้น สำนักวิเคราะห์ 9DashLine ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ภูมิทัศน์การเมืองไทยมีความชัดเจนและ "คาดเดาได้ยากขึ้น" สำหรับกลุ่มขั้วอำนาจเดิม เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจาก สว. อีกต่อไป หมายความว่าพรรคการเมืองหรือกลุ่มพรรคการเมืองที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้เกินกว่า 250 เสียง จะมีสิทธิโดยชอบธรรมในการเลือกนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลตามเจตจำนงของประชาชนที่สะท้อนผ่านคูหาเลือกตั้ง 100% ในอดีต บทเฉพาะกาลนี้เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชน โดยเฉพาะในกรณีการเลือกตั้งปี 2566 รายงานของ International IDEA ชี้ให้เห็นว่า สว. ชุดแต่งตั้งเคยเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคที่ชนะการเลือกตั้งเป็นลำดับที่ 1 เนื่องจาก สว. ส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะลงคะแนนเสียงให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มาจากการรวมตัวของเสียงข้างมากในสภาล่าง แต่สถานการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นอีกในการเลือกตั้งครั้งถัดไป เพราะอำนาจในการยับยั้งการเลือกตัวนายกรัฐมนตรีของ สว. ได้ถูกตัดออกไปอย่างถาวรตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผลจากการสิ้นสุดบทเฉพาะกาลนี้ ทำให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ต้องแข่งขันกันที่นโยบายและการสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน เพื่อช่วงชิงเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรโดยตรง โดยไม่ต้องกังวลถึง "เสียง สว. 250 เสียง" ที่เคยเป็นตัวแปรสำคัญในสมการการเมือง เท่ากับว่านี่คือการปรับดุลอำนาจที่ทำให้ระบบรัฐสภาไทยกลับมาสู่หลักเกณฑ์ที่เป็นสากลมากขึ้น โดยผู้นำฝ่ายบริหารจะต้องได้รับความไว้วางใจจากสภาที่เป็นตัวแทนโดยตรงของประชาชนเท่านั้น นอกจากนี้ การที่ สว. ชุดใหม่มาจากการเลือกกันเองภายในกลุ่มอาชีพและไม่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการแต่งตั้งโดยผู้มีอำนาจฝ่ายบริหารเดิม ยังเป็นสัญญาณของการลดบทบาทวุฒิสภาในฐานะฐานอำนาจทางการเมือง และเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น "สภาวิชาชีพ" ที่มุ่งเน้นการตรวจสอบเชิงเทคนิคและการกลั่นกรองกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้ระบบการจัดตั้งรัฐบาลไทยกลับมามีความเรียบง่ายและตรงไปตรงมาตามหลักการประชาธิปไตยเสียงข้างมาก ประชาชนสามารถมั่นใจได้ว่าคะแนนเสียงของตนจะเป็นผู้กำหนดตัวนายกรัฐมนตรีโดยตรงโดยไม่มีเสียงแต่งตั้งใด ๆ มาเป็นปัจจัยแทรกแซงอีกต่อไป ที่มาข้อมูล : 9DASHLINE , International IDEA , The Senate under the Transitory Provisions of the Constitution of the Kingdom of Thailand อ่านข่าวอื่น : ผบ.ตร.เชื่อมีตำรวจเอี่ยว 3 นาย คลิปเสียงเรียกรับผลประโยชน์นครศรีฯ สมช.เคาะ 3 มาตรการรับมือโดรนป่วน เปิดช่องให้ ทอท.ขอใช้แอนตี้โดรน ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน "สีหศักดิ์" ย้ำ 3 หลักการหยุดยิง