“พาณิชย์”  จับมือ 17 หน่วยงาน ปราบนอมินี–บัญชีม้า  สกัดภัยร้ายทางเศรษฐกิจ

วันนี้ ( 22 ธ.ค.2568) นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน มหกรรมรวมพลังปราบนอมินี บัญชีม้า เสริมภูมินักบัญชีไทย รู้ทันธุรกิจผิดกฎหมาย (Professional Skepticism of Illegal Businesses)ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน 17 หน่วยงาน ว่า ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะระบบบัญชีม้าและระบบนอมินีสร้างความเสียหายให้ประเทศอย่างยิ่ง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่กระทบกับทุกคน หากเรารู้เท่าทันและร่วมมือกันอย่างจริงจัง เราจะสามารถลดและขจัดปัญหานี้ได้ โดยผู้หน่วยงานพันธมิตร สมาคมวิชาชีพบัญชี และนักบัญชีจากสำนักงานบัญชีทั่วประเทศ ล้วนเป็นกำลังสำคัญในการช่วยป้องกัน ช่วยตักเตือน และช่วยลดทอนความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น วันนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อรู้แต่ต้อง ร่วมมือทำ เพราะนักบัญชีคือ ต้นทาง ที่สามารถสกัดกั้นปัญหาได้ตั้งแต่เริ่มต้น หากเข้าใจบทบาทหน้าที่และร่วมมือกันอย่างจริงจัง เชื่อมั่นว่าจะสามารถป้องกันการใช้บัญชีม้าและนอมินีเข้ามาทำธุรกิจอย่างไม่โปร่งใส ซึ่งมีความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมได้ จากการถอดบทเรียน จะเห็นว่ามิจฉาชีพมีการพัฒนารูปแบบการกระทำผิดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ทุกภาคส่วนก็ต้องพัฒนาและรู้เท่าทันเช่นกัน การเสริมความรู้ครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถปกป้องประเทศและระบบธุรกิจไทยได้อย่างยั่งยืน นางศุภจี กล่าวว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในฐานะหน่วยงานหลัก ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรอย่างใกล้ชิด และในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ ได้เตรียม ของขวัญปีใหม่ให้มิจฉาชีพ ผ่านมาตรการเข้มข้น 4 คำสั่ง และ 2 ประกาศ เพื่อปิดช่องโหว่ตั้งแต่ต้นทาง อาทิ การนำข้อมูลผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 13 ล้านราย และข้อมูลบัญชีม้ากว่า 90,000 รายชื่อ มาประกอบการคัดกรองการจดทะเบียนนิติบุคคล หากพบความเสี่ยงจะเชิญมาแสดงตัวตนและแสดงหลักฐานทางการเงิน รวมถึงการตรวจสอบกรณีใช้ที่อยู่ซ้ำซ้อน การจัดโครงสร้างกรรมการที่น่าสงสัย และการยืนยันตัวตนของผู้เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนบริษัท นอกจากนี้ ยังได้ออกประกาศให้ผู้รับหน้าที่จดทะเบียนบริษัทต้องขึ้นทะเบียนแสดงตัวตน และให้ผู้รับรองการจดทะเบียนต้องเห็นตัวจริงและยืนยันตัวตนผ่านระบบ เพื่อยกระดับความโปร่งใสและลดโอกาสการแอบอ้าง ทั้งนี้ประเทศไทยมีนักบัญชีกว่า 80,000 ราย และสำนักงานบัญชีกว่า 7,000 แห่ง แต่มีสำนักงานบัญชีที่อยู่ในสมาคมบัญชีคุณภาพเพียง 191 ราย จึงขอเชิญชวนสำนักงานบัญชีเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมบัญชีคุณภาพ เพื่อเสริมทักษะ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และร่วมกันปกป้องระบบธุรกิจไทย พร้อมขอความร่วมมือไม่สนับสนุนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และรักษาความเชื่อมั่นของระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ปี2567 ยอดเสียหาย กว่า 6 หมื่นล้าน สูงสุดในรอบ5 ปี ทั้งนี้ข้อมูลจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)พบว่า ปี2567 คนไทยถูกมิจฉาชีพโทรศัพท์หลอกลวง 38 ล้านสาย ถูกส่ง SMS หลอกลวง 130 ล้านข้อความ สร้างมูลค่าความเสียหาย 6 หมื่นล้านบาท สถิติพุ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี  และหากนับจากปี 65 มีสถิติการแจ้งความคดีออนไลน์ยังพุ่งถึง 1 ล้านคดี มูลค่าความเสียหายรวมแล้วกว่า 98,000 ล้านบาท (จาก Thai Police Online) พบว่าข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการหลอกลวงที่เหยื่อยินยอมโอนเงินเอง ซึ่งเพิ่มขึ้นตามระบบชำระเงินที่รวดเร็ว (fast payment) และมีปัจจัยที่เอื้อให้มิจฉาชีพเข้าถึงผู้เสียหายได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่เชื่อมผู้คนที่ง่ายขึ้น ไปจนถึงการมี AI ที่ทำให้กลโกงแนบเนียนขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องการถูกมิจฉาชีพหลอกลวง มี4 วิธีจับผิดมิจฉาชีพที่จะเป็นตัวช่วยเบื้องต้นก่อนตัดสินใจโอนเงิน ดังนี้ 1. ตรวจสอบรายชื่อผ่าน Google เป็นวิธีง่าย ๆ ที่หลายคนมองข้าม แค่นำชื่อคนที่ขายสินค้าหรือเจ้าของบัญชีไปค้นหาใน Google อาจมีข้อมูลพฤติกรรมที่มิจฉาชีพเคยทำ หรือสงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพ 2. เช็กใน Social Media ค้นหาในโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ X (Twitter) เพราะคนที่เคยเป็นเหยื่อมักจะมาโพสต์เตือนภัยเอาไว้ 3. เช็กผ่านเว็บไซต์  บางเว็บไซต์สามารถตรวจสอบประวัติมิจฉาชีพของผู้รับโอนได้จากทั้งเลขบัญชีและเบอร์โทร เช่น Blacklistseller, ฉลาดโอน หรือ เช็กก่อน 4. เช็กจากเบอร์โทรศัพท์ การใช้แอปพลิเคชัน เช่น Whoscall หรือ Truecaller สามารถช่วยเราคัดกรองมิจฉาชีพ หรือเบอร์แปลกๆ ที่โทรมาหาเราได้จากเบอร์โทรได้ อ่านข่าว: กรมบัญชีกลางเตือน ผู้รับบำนาญระวังมิจฉาชีพ แนะ 3 วิธีสังเกต คปภ.สั่งเพิกถอนใบอนุญาต ตัวแทนประกันชีวิตโกงเบี้ยกว่า 100 ล้าน เตือนอีกครั้ง ระวัง "มิจฉาชีพ" แอบอ้างแจ้งคืนภาษีผ่านอีเมล