ทวิภาคี ศึกศักดิ์ศรี “ไทย” ไม่ถอย “เจรจา-หยุดยิง” ทางรอดลง “ตระกูลฮุน”

ยังปะทะต่อเนื่องไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 ตั้งแต่ ภูมะเขือ ห้วยตามาเรีย ผามออีแดง ซึ่งทหารเขมรยังคงระดมยิงปืนใหญ่ ส่งโดรนพลีชีพเข้ามา เช่นเดียวกับด้านปราสาทตาควาย และเนิน 350 ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ส่วนพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 ยังใช้ BM-21 และเครื่องยิงลูกระเบิดเข้าโจมตีพื้นที่พลเรือนใน 3 อำเภอ ตาพระยา, โคกสูง และสระแก้ว ทำให้ ส.อ.กัมปนาถ ทองแสง พลขับรถยานเกราะ สังกัด ร.21 พัน 1 รอ.นักรบคนที่ 22 ต้องพลีชีพ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา และวันนี้ (23 ธ.ค.2568) ไทยต้องสูญเสียทหารกล้า “พลทหาร ธนพัฒน์ นันทะวงค์” เป็นคนที่ 23 ในพื้นที่ จ.สระแก้ว ทำมีเกิดคำถามว่า “ให้มันจบในรุ่นเรา” จะเกิดได้จริงหรือไม่ แม้ว่าภาพรวมของการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ ทหารไทยจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว แต่ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยอมจบและพยายามหาทางตีคืนอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่ วันพรุ่งนี้ (24 ธ.ค.2568 ) ไทย-กัมพูชาจะมีการจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ที่ อ.บ้านแหลม จ.จันทบุรี โดยสาระสำคัญการประชุม คือ เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการ ขั้นตอน และการตรวจสอบการหยุดยิง ซึ่งไทย ได้ย้ำมาตลอดว่า การหยุดยิงไม่สามารถเกิดขึ้นจากการประกาศฝ่ายเดียว ต้องเกิดจากเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ เพื่อให้การหารือที่จะนำไปสู่การหยุดยิง สะท้อนความเป็นจริงในพื้นที่และมีความยั่งยืน และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี และ “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว“ รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ยืนยันตรงกันว่า รัฐบาลไทยพร้อมหารือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติเป็นสำคัญ ไทยยังคงปรารถนาสันติภาพ แต่สันติภาพที่ยั่งยืนจะต้องมาพร้อมกับความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนไทย “ฝ่ายไทยหวังที่จะเห็นความจริงใจของกัมพูชาที่สะท้อนผ่านการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อสันติภาพที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงสันติภาพที่อยู่บนกระดาษเท่านั้น” ขณะที่ท่าทีของ “ฮุน เซน“ และ “ฮุน มาเนต” แม้จะพยายามหาทางลง ทั้งส่งคนกลางมาเจรจาทางลับกับไทยเพื่อขอให้มีการหยุดยิง แต่กัมพูชา คือ เขมร พลิกลิ้นกลับไป-กลับมา ได้ตลอด โดยกระทรวงกลาโหมกัมพูชา กล่าวหา กองทัพไทยว่าได้ใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีปราสาทตาควาย และปราสาทพระวิหาร มรดกโลกทางวัฒนธรรม โดยไม่ได้ย้อนกลับไปมองว่า ฝ่ายตนได้ใช้โบราณสถานเป็นฐานปฏิบัติการทหาร การติดตั้งอาวุธกล้องตรวจการณ์ และระบบแอนตี้โดรนบนพื้นที่โบราณสถาน ถือเป็นการละเมิดหลักสากลอย่างรุนแรง ท่ามกลางการเรียกร้องให้ประเทศที่สาม เข้ามาเป็นกลไกเจรจา “ฮุน เซน” ยังคงสั่งกำลังพลและยุทโธปรณ์เข้ามาในพื้นที่แนวรบตาพระยา ด้านเมืองปอยเปต บริเวณสตึงบท ฝั่งตรงข้าม จ.สระแก้ว และบริเวณรอบแนวรบพระวิหารกลับคืนอีกครั้ง โดยเฉพาะพื้นที่ซำแต - โดนตรวล - ภูผี- สัตตะโสม – พนมประสิทธิโส – ช่องตาเฒ่า และพื้นที่ผามออีแดง-ห้วยตามาเรีย ฝ่ายกัมพูชาใช้ปืนเล็กยาว  เครื่องยิงลูกระเบิด ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง และปืนใหญ่ มาตกบริเวณป่ายาง บ้านซำเม็ง และบ้านภูมิซลอน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ไทยได้ยิงตัดเส้นทางส่งกำลังบำรุงของกัมพูชา และพื้นที่บริเวณภูมะเขือ พลาญหินแปดก้อน ยกเว้น 3พื้นที่ ทหารไทยได้สถาปนาความมั่นคง ดัดแปลงที่มั่นให้แข็งแรง และตรึงกำลังในพื้นที่ได้แล้ว คือ บริเวณช่องอานม้า, เนิน 350 และตาควาย ThaiArmedForce.com เผยบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2568  ทำไม “กัมพูชา” กลับมาเปิดเกมรุก “ห้วยตามาเรีย-พลาญหินแปดก้อน” โดยชี้ว่า ตอนนี้จุดการปะทะหลักใน #ชายแดนไทยกัมพูชา ของพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 เหลืออยู่จุดเดียวคือห้วยตามาเรีย ซึ่งเป็นร่องน้ำที่ไหลระหว่างภูมะเขือกับเขาพระวิหารลงไปที่ช่องคานม้าผ่านวัดแก้วฯ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เราเคยได้ยินกันมาตั้งแต่อดีต ตรงนี้ทหารกัมพูชายึดครองอยู่ในฐานะส่วนหนึ่งของการวางกำลังบนปราสาทพระวิหารและภูมะเขือ สมการการวางกำลังเปลี่ยนไป ตอนที่ไทยผลักดันกัมพูชาและยึดภูมะเขือกลับคืนมาได้ ซึ่งรวมถึงพื้นที่ทางตะวันตกคือช่องโดนเอาว์ ยาวไปจนถึงพลาญหินแปดก้อน ประกอบกับการที่ไทยควบคุมช่องตาเฒ่าและสัตตะโสมทางด้วยตะวันออกได้แล้ว เท่ากับว่ากัมพูชาเสียอิทธิพลในการควบคุมพื้นที่ในแถบนี้เกือบหมด เพราะไทยยึดจุดที่ได้เปรียบในทางยุทธวิธีเอาไว้ได้ ทำให้กัมพูชาต้องถอนตัวออกไปค่อนข้างไกล กรณีนี้ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นบนเนิน 677 หรือเนิน 350 แต่การที่กัมพูชากลับมาพยายามตีเพื่อยึด #ภูมะเขือ และโซน #พลาญหินแปด ก้อนใหม่ในช่วง 4 - 5 วันนี้ โดยเป็นแนวเดียวที่กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกและไทยเป็นฝ่ายรับ คิดว่ามีเหตุผลบางประการ คือ 1.กัมพูชาเสียพื้นที่แทบทุกแนวแล้ว อาจจะยังเหลือเนิน 745 ที่ยังไม่มีความคืบหน้า แต่จุดหลักนั้นไทยผลักดันกัมพูชากลับไปได้หมด ดังนั้นนอกจากกัมพูชาจะไม่มีอะไรไปเคลมชัยชนะกับประชาชนได้ ยังถือว่าเสียรังวัดและเสียหายทางการเมืองในประเทศค่อนข้างมาก ถ้ากัมพูชายึดบางพื้นที่กลับคืนมาได้บ้างก็จะถือเป็นชัยชนะเล็ก ๆ บนความพ่ายแพ้ใหญ่ 2. พื้นที่โซนอีสานใต้นี้กัมพูชาไม่ต้องตั้งรับแล้ว เพราะแทบไม่มีพื้นที่ให้ตั้งรับ ดังนั้นกัมพูชาสามารถรวบรวมกำลังให้เป็นกำลังขนาดใหญ่ เพื่อรวมอำนาจการยิงเข้ามาในจุดเดียวได้ โดยจุดที่กัมพูชาเลือกก็คือ พลาญหินแปดก้อน ภูมะเขือ และห้วยตามาเรีย 3. สาเหตุที่กัมพูชาเลือกพื้นที่นี้ เพราะมีพื้นที่ได้เปรียบอยู่จุดเดียวและเป็นพื้นที่ที่ไทยไม่เข้าไปยึดครองแน่นอน คือ ปราสาทพระวิหาร นอกจากนั้นยังควบคุมพื้นที่ในช่องคานม้าและห้วยตามาเรียเอาไว้ได้บางส่วน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการรุก ถ้ากัมพูชาสามารถยึดคืนภูมะเขือได้ อิทธิพลทางทหารก็จะกลับมาสู่กัมพูชา ซึ่งอาจจะต่อยอดไปยึดครองช่องโดนเอาว์ และอาจจะใช้ความได้เปรียบทางภูมิประเทศตีต่อไปประชิดกำลังฝ่ายไทยที่ผามออีแดงได้ หรือในโซนตะวันตกถ้าสามารถบรรจบกับกำลังที่ตีขึ้นมาตรงผลาญหินแปดก้อนได้ ก็สามารถที่จะได้อิทธิพลทางทหารกลับมาในพื้นที่แถบนี้ทั้งหมดได้ 4. และการไปเชิญธงชาติกัมพูชาขึ้นบนภูมะเขือได้ ก็จะเป็นการกู้หน้าให้กับกองทัพกัมพูชาได้พอสมควรทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาฝ่ายไทยมีเวลาดัดแปลงและเสริมความแข็งแรงที่มั่นในการตั้งรับ ทำให้แนวรับตรงนี้ของไทยถือว่าแข็งพอสมควร ในทางกลับกันการที่ไทยควบคุมภูมะเขือได้ เท่ากับได้จุดตรวจการณ์ที่มองลึกเข้าไปในกัมพูชาได้เป็นสิบกิโลเมตร ซึ่งทำให้ไทยสามารถปรับการยิงปืนใหญ่ได้แม่นยำขึ้น จึงถือว่าเป็นงานที่ยากมากของกัมพูชาถ้าคิดจะตีภูมะเขือจริง ๆ และเมื่อเทียบกับของที่กัมพูชาเหลืออยู่ คิดว่าไม่น่าเพียงพอที่กัมพูชาจะตีภูมะเขือได้ทันก่อนที่การหยุดยิงที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้จะมีผลครับ “สันติภาพ”จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ การกระทำของทหารกัมพูชา ภายใต้การบงการของ สองพ่อลูก “ตระกูลฮุน” อาจพอเห็นคำตอบลาง ๆ แล้ว หลังจากพยายามใช้วาทกรรมของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มากดดันไทย สร้างประโยชน์ในหลายครา เหมือนมีลิ้นหลายแฉก สมรภูมิเดือดเลือกตั้ง 69 “ปชน.-ภท” ชิงดำ เพื่อไทย “กระอัก” บ้านใหญ่ย้ายหนี ทรัมป์ลั่นสหรัฐฯ "ต้องมีกรีนแลนด์" ตั้งผู้แทนพิเศษ เขย่าความสัมพันธ์เดนมาร์ก นายกฯ เผย กกต.ชงงบจัดเลือกตั้ง 69 พ่วงประชามติ 8 พันล้านบาท