วันนี้ (24 ธ.ค.2568) นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์ในงานแถลงนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ปี 2569 ของพรรคภูมิใจไทย ว่า ไม่เคยคิด จะมายืนอยู่ตรงนี้ พูดในเวทีแบบนี้ ถือเป็นครั้งแรก ตอนที่ได้รับการทาบทามให้เป็น รมว.ต่างประเทศ เป็นเรื่องที่คิดหนัก เพราะไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะมารับตำแหน่ง มีวิกฤตข้างหน้ารอคอยอยู่แล้ว การที่รับหน้าที่นี้อยากทำงาน เพราะมีความเชื่อว่าการต่างประเทศที่เข้มแข็งจะนำพาพ้นวิกฤต นำไปสู่ความมั่นคงยิ่งขึ้น และจะนำพาความกินดีอยู่ดีความก้าวหน้ามาสู่ประชาชนชาวไทย ด้วยเหตุนี้จึงรับหน้าที่นี้ "วันนี้มารับหน้าที่เข้าเดือนที่ 4 ก็ต้องเจอวิกฤตความสัมพันธ์กับกัมพูชา คิดว่ามาถูกทางแล้วเพราะมีผู้นำที่เข้มแข็ง และมีเอกภาพระหว่างทหารกับฝ่ายการทูต ทำงานร่วมกันและพูดเป็นเสียงเดียวกัน ไทยมีเอกภาพในการปกป้องคุ้มครองอธิปไตยของไทยศักดิ์ศรีของประเทศไทย แน่นอนว่าไทยพร้อมที่จะเปิดประตูสำหรับการพูดคุยเจรจาเพราะความขัดแย้งต้องจบที่การเจรจาพูดคุย แต่การเจรจานั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายมีความพร้อมและความจริงใจ ซึ่งไทยรอคอยอยู่" อ่านข่าว : "อนุทิน" นำภูมิใจไทยเปิดสโลแกน "พูดแล้วทำพลัส" สู้เลือกตั้ง 69 นายสีหศักดิ์ กล่าวต่อว่า อีก 4 ปีข้างหน้า หวังว่าไทยจะก้าวพ้นความขัดแย้งในปัจจุบันและการต่างประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า จะสร้างโอกาสให้กับประเทศไทยและสร้างโอกาสให้กับประชาชนชาวไทย ทำให้ไทยกลับมาสู่แนวหน้าของประชาคมโลก ทำให้ไทยมีบทบาทนำในเวทีระหว่างประเทศและอยู่ในเวทีอย่างมีเกียรติภูมิและมีศักดิ์ศรี นายสีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า หัวใจสำคัญของการดำเนินนโยบายต่างประเทศคือการบริหารความสมดุลระหว่างการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และยุทธศาสตร์ระยะยาว โดยในระยะสั้น ไทยจำเป็นต้องก้าวพ้นความขัดแย้งกับกัมพูชา และมีบทบาทเชิงรุกในการส่งเสริมเสถียรภาพในเมียนมา เพื่อคืนสันติภาพให้ภูมิภาค ต้องการเห็นชายแดนที่มั่นคงและเชื่อมโยงกัน เป็นชายแดนที่ปราศจากอาชญากรรม โดยเฉพาะยาเสพติดและขบวนการคอลเซ็นเตอร์ หากเพื่อนบ้านก้าวหน้าและมีสันติภาพ ก็จะเป็นโอกาสให้ไทยได้ขยายการค้าและการลงทุน ส่วนของยุทธศาสตร์ระยะยาว นายสีหศักดิ์ มองว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะไร้ระเบียบ จากการแข่งขันของมหาอำนาจ ทั้งสหรัฐฯ จีน รัสเซีย อินเดีย และกลุ่มประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิก ดังนั้น ไทยต้องรักษาความสัมพันธ์กับทุกฝ่ายโดยไม่เลือกข้าง พร้อมใช้กลไกอาเซียนเป็นภูมิต้านทาน และสร้างอำนาจต่อรองในด้านเทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำว่า การทูตไทยต้องมองไกลกว่าผลประโยชน์ใกล้ตัว เพื่อสร้างศักดิ์ศรีบนเวทีโลก โดยไทยควรมีบทบาทนำในประเด็นสากล อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change), การป้องกันโรคระบาด, การต่อต้านการค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติ นายสีหศักดิ์ กล่าวย้ำว่า การต่างประเทศที่แข็งแกร่งต้องเริ่มต้นจากบ้าน (Foreign policy begin at home) หรือความพร้อมภายในประเทศ โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ กองทัพ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อกำหนดหนทางและยุทธศาสตร์ที่เป็นเอกภาพ โดยเฉพาะการทำงานในรูปแบบทีมไทยแลนด์ ที่บูรณาการทุกส่วนราชการและภาคเอกชนเข้าด้วยกัน จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การดำเนินนโยบายในต่างประเทศมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน นายสีหศักดิ์ กล่าวต่อว่า การทูตต่างประเทศต้องตอบโจทย์ของประเทศ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นในสัปดาห์หน้านี้จะมีการประกาศนโยบายการทูตเศรษฐกิจ ซึ่งต่อไปนี้สถานทูต สถานกงสุลใหญ่ ซึ่งมีเกือบ 100 ประเทศ ต้องหันมาทำงานด้านเศรษฐกิจ แต่ไม่ใช่แบบเดิมๆ ที่เป็นการหาตลาด ส่งเสริมการลงทุน ทูตจะต้องทำงานแบบมีเป้าหมาย walk to talk โดยการเข้าหา และเข้าถึงดังนั้น การทูตเศรษฐกิจถือเป็นการส่วนสำคัญของนโยบายต่างประเทศภายใต้พรรคภูมิใจไทย ขณะการต่างประเทศในสังคมประชาธิปไตยประชาชนต้องมีส่วนรับรู้ และมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย ต้องทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมด้วย แม้จะเบื่อที่ต้องออกข่าว ให้สัมภาษณ์ แต่เพราะนี่ถือเป็นการต่างประเทศที่ตรวจสอบได้โปร่งใส และประชาชนเข้าใจสนับสนุนการดำเนินการทางด้านการทูต และการต่างประเทศ ท้ายที่สุดยุทธศาสตร์การต่างประเทศของเราการทูตของเรา ต้องมุ่งสู่ที่ประเทศไทยจะอยู่ในเวทีโลกอย่างมีเกียรติภูมิ มีศักดิ์ศรี และผลักดันผลประโยชน์ของประเทศไทยทุกด้านเพื่อให้ไทยอยู่ในแนวหน้าของประชาคมโลกและเพื่อให้ไทยเป็นไทยในเวทีโลก อ่านข่าว : "ไชยชนก" ปัดตอบ "ศุภจี - สีหศักดิ์" ตอบรับนั่ง แคนดิเดตนายกฯ "ภูมิใจไทย" หรือไม่ 2 แคนดิเดตนายกฯ "เพื่อไทย" เข้าพบ "ส.อ.ท."