วันนี้ ( 24 ธ.ค.2568) นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวถึง การเลือกตั้งในปี 2569 ว่าการแข่งขันของพรรคการเมืองจะรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากหลายพรรคตั้งเป้าเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ประกอบกับ ระยะเวลาการหาเสียงสั้น และ มีพรรคการเมืองใหม่เข้าสู่สนามเลือกตั้งมากขึ้น แต่การแข่งขัน ยังอยู่ที่ 3 พรรคการเมืองหลัก เช่น พรรคประชาชน เพื่อไทย ภูมิใจไทย ที่ต้องการที่นั่งไม่ต่ำกว่า 100 ที่นั่งเพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่พรรคขนาดกลาง และขนาดเล็กต้องการที่นั่งเพิ่มขึ้น เช่น พรรคกล้าธรรม ที่ต้องการให้ตัวเองเป็นพรรคขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นรัฐบาลผสม พรรคประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ ที่ต้องการที่นั่งให้เกิน 20-25 ที่นั่ง เพื่อเป็นตัวเลือกในการจัดตั้งรัฐบาล ส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายเพื่อการหาเสียง การลงพื้นที่ และกิจกรรมทางการเมืองจำนวนมาก คาดว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 40,000–60,000 ล้านบาท ช่วยพยุงเศรษฐกิจช่วงต้นปี 2569 ให้ขยายตัวได้มากกว่า 2 % หากภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนประเด็นเศรษฐกิจยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการหาเสียง โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ เช่น นโยบายเงินโอนหรือโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งอาจถูกนำมาใช้ในช่วงไตรมาส 2 เพื่อรองรับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลก การส่งออกที่ชะลอตัว และแรงกดดันจากสงครามการค้า และเห็นว่าการใช้นโยบายประชานิยมต้องคำนึงถึงภาระหนี้สาธารณะและความยั่งยืนทางการคลัง พรรคการเมืองต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการดึงคนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาท ทั้งในฐานะผู้สมัครและทีมกำหนดนโยบาย เพื่อสะท้อนโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการอัปสกิล–รีสกิลแรงงาน การพัฒนาเทคโนโลยี ดิจิทัล ดาต้าเซ็นเตอร์ โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการรับมือความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ภัยแล้ง และน้ำท่วม ซึ่งส่งผลต่อภาคธุรกิจและเกษตรกรรมโดยตรง นาย ธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลใหม่สามารถสร้างเสถียรภาพทางการเมืองเข้ากับนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน โปร่งใส และเน้นเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และต้องสร้างโอกาสผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2569 ให้แตะระดับมากกว่า 3-5 % ได้ แต่ทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับทิศทางการเมืองหลังการเลือกตั้งและคุณภาพของนโยบายที่ถูกนำไปปฏิบัติจริง นอกจากนี้ประเด็นที่ถูกหยิบยกอย่างชัดเจน คือ การต่อต้านคอร์รัปชั่น ซึ่งถูกมองว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ โดยประเทศไทยยังมีคะแนนดัชนีคอร์รัปชั่นในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย การยกระดับความโปร่งใส การใช้เทคโนโลยี และการลดการผูกขาด จึงเป็นปัจจัยจำเป็นในการดึงดูดการลงทุนระยะยาว ซึ่งในวันที่20 ม.ค.2569 มหาวิทยาลัยหอการค้าจะเชิญ 7 พรรคการเมืองมาแสดงวิสัยทัศน์นโยบายไม่คอร์รัปชั่น ในหัวข้อ กกร.และเพื่อนไม่ทนกับคอร์รัปชั่น อ่านข่าว: ISP วิเคราะห์ปะทะชายแดน "กัมพูชา" เศรษฐกิจเสียหายหนัก 650 ล้านดอลลาร์ GDP หดตัวชัด “พาณิชย์” จับมือ 17 หน่วยงาน ปราบนอมินี–บัญชีม้า สกัดภัยร้ายทางเศรษฐกิจ ไทย ใช้สิทธิFTA 9 เดือนพุ่ง 6.97% พณ.เผย "ทุเรียน-ยานยนต์สำหรับขนส่ง”ใช้สิทธิสูงสุด