“บาทแข็ง” เสี่ยงเสียตลาดส่งออก หอการค้าไทย เผย ข้าว–เกษตร กระทบหนัก

วันนี้ ( 24 ธ.ค.2568) นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทย กล่าวถึง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ว่า หากค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าคู่แข่งและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จะส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะอาจทำให้ตลาดส่งออกไหลไปยังประเทศที่สามารถลดราคา หรือ ยืนราคาได้ต่ำกว่า โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนัก คือ ผู้ส่งออกและเกษตรกรที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะ สินค้า“ข้าว” ซึ่งมีการแข่งขันสูงมากในตลาดโลกที่ปีนี้ไทยต้องเผชิญการแข่งขันจากอินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีผลผลิตข้าวดีและเสนอราคาที่แข่งขันได้มาก หากค่าเงินของประเทศคู่แข่งอ่อนค่ากว่าเงินบาท ไทยจะเสียเปรียบทันทีและมีความเสี่ยงสูงต่อการสูญเสียตลาด สำหรับผลกระทบต่อการส่งออกในปีนี้ ออเดอร์ส่งออกสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ได้ส่งมอบไปแล้ว เหลือเพียงรอรับเงิน ซึ่งประเด็นสำคัญอยู่ที่ผู้ประกอบการได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้หรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำสัญญาฟอร์เวิร์ด ทำให้มีความเสี่ยงขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างแท้จริง เนื่องจากช่วงที่เสนอราคาขาย ค่าเงินบาทอยู่ในระดับอ่อนกว่า ก่อนจะทยอยแข็งค่าจากระดับราว 36 บาทต่อดอลลาร์ ลงมาถึง 33 บาทต่อดอลลาร์ แม้ตามหลักแล้ว เมื่อค่าเงินบาทแข็ง ผู้ส่งออกควรปรับขึ้นราคาขาย แต่ในสภาพตลาดปีนี้ การขึ้นราคาแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะกำลังซื้อทั่วโลกชะลอตัว หากปรับราคาเมื่อใดก็มีโอกาสเสียตลาดทันที ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องยืนราคาขายเดิมมาโดยตลอด และแบกรับผลขาดทุนจากค่าเงินที่แข็งขึ้น ภาคเกษตร-อาหารกระทบหนักสุด ปีหน้าตั้งเป้าโต 5% ทั้งนี้ในช่วง 4 ปีครึ่งที่ผ่านมา การแข็งค่าของเงินบาทในระยะแรกมาจากปัจจัยพื้นฐานของไทย เช่น เศรษฐกิจที่เติบโตดี การส่งออก การลงทุน และการท่องเที่ยว ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดแข็งแกร่งและความต้องการเงินบาทสูงขึ้น ซึ่งเป็นการแข็งค่าตามธรรมชาติ แต่ ในปีนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจหลายด้านไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิม แม้การส่งออกยังเป็นบวก แต่เริ่มชะลอลง และสินค้าที่ขยายตัวได้ดีส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งวัตถุดิบจำนวนมากต้องนำเข้า ทำให้ประโยชน์ที่เกิดกับผู้ผลิตในประเทศมีจำกัด ผลกระทบที่ชัดเจนจึงตกอยู่กับผู้ผลิตที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรและอาหาร ขณะที่ในช่วงปลายปี ตัวเลขส่งออกอาจไม่ถูกกระทบมากนักในเชิงปริมาณ แต่รายได้เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทจะลดลง และมีโอกาสเกิดการขาดทุน สำหรับแนวโน้มปีหน้า ประเมินว่าสินค้าหลัก โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรและอาหาร น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และไม่น่าจะแย่กว่าปีนี้ โดยตั้งเป้าการเติบโตขั้นต่ำไว้ที่ราว 5% เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถอยู่รอดได้ หลังจากปีนี้ยอดส่งออกหดตัวราว 7–8% ขณะที่กลุ่มสินค้าที่มีความต้องการสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI ยังมีแนวโน้มเติบโตดี เนื่องจากหลายประเทศต้องการเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต เงินทุนไหลเข้า-เก็งกำไรทอง หนุน "บาทแข็ง" ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าอย่างรวดเร็ว โดยปรับตัวแรงกว่าหลายประเทศคู่แข่ง ขณะที่ค่าเงินของบางประเทศอ่อนค่าลงในระดับสูง ทำให้สินค้าของประเทศเหล่านั้นมีความได้เปรียบด้านราคา ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะภาคส่งออก ต้องเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้น และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้าและเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า มาจากหลายส่วน ได้แก่ รายได้จากภาคส่งออกที่ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวซึ่งสร้างรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก รวมถึงการไหลเข้าของเงินทุนในตลาดตราสารหนี้และตลาดทุนไทย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนยังอยู่ในระดับที่จูงใจนักลงทุนต่างชาติ ขณะเดียวกัน แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังพบสัญญาณของเงินทุนไหลเข้าจากการซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำในรูปแบบสัญญา ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายสูงกว่าการซื้อขายทองคำแท่ง และมีลักษณะเป็นการเก็งกำไรในระยะสั้น ม.หอการค้าชี้ "ค่าบาท" ควรอยู่ระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ ข้อมูลจากข้อมูลในวงหารือ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานก.ล.ต. พบว่า มูลค่าการซื้อขายทองคำต่อวันอยู่ในระดับสูง และบางส่วนของเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดทองคำ อาจส่งผลต่อทิศทางค่าเงินบาทโดยตรง หากมีการแปลงเงินตราเข้ามาเก็งกำไรในประเทศ ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง เช่น การผลิตหรือการลงทุนระยะยาว ซึ่งแนวทางการแก้ที่ออกมานั้นมาถูกทางแล้ว ค่าเงินบาทที่เหมาะสมต่อเศรษฐกิจไทยควรอยู่ในระดับประมาณ 34–35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากเงินบาทแข็งค่าหลุดระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์ อาจสร้างผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อภาคเกษตร ภาคส่งออก ภาคการท่องเที่ยว และรายได้ของผู้ประกอบการไทย ซึ่งจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม นายธนวรรธน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การรักษาสมดุลระหว่างเสถียรภาพค่าเงินกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นโจทย์สำคัญของไทยในช่วงเวลานี้ หากสามารถบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสม จะช่วยลดแรงกระแทกจากเศรษฐกิจโลก และประคองเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง อ่านข่าว: สรท.ชงรัฐบาล 7 ข้อ เร่งแก้เงินบาทห่วงซ้ำเติมกำลังซื้อ กกร.ห่วงบาทแข็ง กระทบส่งออกเล็งทบทวบเป้าใหม่ ภาษีสหรัฐฯ-ราคาสินค้าเกษตร ฉุดส่งออกไทยขยายตัวชะลอตัว จี้รัฐ-แบงก์ชาติ แก้บาทแข็ง สมาคมอาหารแห่งอนาคต หวั่นฉุดส่งออก-เสียตลาด