หลังปิดปากเงียบมานาน 2 สัปดาห์ นับตั้งแต่ไทยปะทะกับกัมพูชาระลอกใหม่ เมื่อช่วงต้นเดือน ในที่สุดรัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ยอมออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ หลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนนัดพิเศษ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย เสร็จสิ้น แถลงการณ์ฉบับนี้ที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ฟิลิปปินส์พร้อมรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก หรือ ผู้ไกล่เกลี่ย ระหว่างกัมพูชาและไทย หากทั้ง 2 ประเทศตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากอาเซียน โดยฟิลิปปินส์จะรับตำแหน่งประธานอาเซียนในเดือน ม.ค.ที่จะถึงนี้ การประกาศท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ถือเป็นการกลบกระแสข่าว และการคาดการณ์ต่าง ๆ นานา ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญอาเซียน ที่มองว่า มาเลเซียอาจยึดเก้าอี้คนกลางต่อไป แม้จะลงจากเก้าอี้ประธานอาเซียนไปแล้วก็ตาม แต่การเปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวกนี้ จะมีผลต่อการเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งหรือไม่ จะตอบคำถามนี้ได้ ต้องหันมาดูประเด็นใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในอาเซียนมักจะมีมหาอำนาจชาติใดชาติหนึ่ง หรือทั้ง 2 ชาติมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ หลังจากภูมิภาคนี้ตกอยู่ท่ามกลางการแย่งชิงอิทธิพลระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในฐานะที่อาเซียนถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของโลก บทบาทของทีมสหรัฐฯ ที่นำโดย โดนัลด์ ทรัมป์ และการเดินสายของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนหลายคน เพื่อช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ซึ่งไม่ว่าความเคลื่อนไหวเหล่านี้จะมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือ การขยับตัวของมหาอำนาจย่อมสร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อชาติอาเซียนเริ่มแบ่งข้าง เอกภาพของอาเซียนมักถูกตั้งคำถามมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่มีมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างเรื่องการอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ ซึ่งแม้จะมีโจทก์อยู่หลายประเทศ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่งัดข้อกันรุนแรงมากที่สุด หนีไม่พ้น จีนกับฟิลิปปินส์ ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี และหันไปซบอกสหรัฐฯ สวนทางกับนโยบายของรัฐบาล โรดริโก ดูเตอร์เต ที่เป็นมิตรกับจีน ดังนั้น เมื่อฟิลิปปินส์รับไม้ต่อจากมาเลเซีย จุดยืนอาเซียนในปีหน้าจะพลิกไปจากปีนี้หรือไม่ เพราะตัวประธานอาเซียนถือว่ามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางความเคลื่อนไหวของกลุ่มอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว ที่ต้องจับตาดูอย่างยิ่ง นั่นคือ การช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ของประธานอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์ ว่า จะเป็นการกันจีนออกจากเวทีเจรจา ในกรอบอาเซียนหรือไม่ และฟิลิปปินส์จะยอมพูดคุยกับจีนที่ต้องการช่วยเป็นกาวใจอีก 1 แรง มากน้อยแค่ไหน หลังจากข้อพิพาททะเลจีนใต้ทำให้ทั้งสองประเทศ แทบมองหน้ากันไม่ติด งานหินที่รอประธานอาเซียนคนใหม่มาสะสางอีกเรื่อง คือ วิกฤตในเมียนมา ซึ่งสถานการณ์ความรุนแรงในตอนนี้ยิ่งน่ากังวลมากขึ้นไปอีก หลังจากรัฐบาลทหารเมียนมาเดินหน้าจัดการเลือกตั้งในหลายพื้นที่ โดยจะเริ่มขึ้นในวันอาทิตย์นี้เป็นวันแรก (28 ธ.ค.) หันมาดูปฏิทินการเลือกตั้งในเมียนมาแล้ว จะเห็นว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ซึ่งรัฐบาลทหารเมียนมาอ้างเรื่องความปลอดภัย โดยมีการคาดการณ์ว่า ทางการเมียนมาน่าจะประกาศผลการเลือกตั้งในช่วงปลายเดือน ม.ค. ซึ่งมีรายงานว่า อาเซียนจะไม่ส่งทีมไปสังเกตการณ์การเลือกตั้ง แม้รัฐบาลทหารเมียนมาจะส่งคำเชิญมาก็ตาม แถลงการณ์หลังการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อเดือน ต.ค. ระบุชัดเจนว่า การยุติความรุนแรงและการพูดคุยที่ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง และแม้จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มีข่าวว่า อาเซียนจะไม่ส่งทีมสังเกตการณ์ไปเมียนมา เพราะขาดฉันทามติ หลังชาติสมาชิกเห็นต่างกัน แต่อาเซียนไม่ขวาง ถ้าประเทศไหนอยากส่งทีมไป เพียงแต่ต้องทำในกรอบทวิภาคีเท่านั้น ก่อนหน้านี้ ไทยระบุว่า จะส่งทีมไปสังเกตการณ์การเลือกตั้ง ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ยอมรับว่า การเลือกตั้งในเมียนมา ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการในเชิงบวกบางอย่างได้ ดูเหมือนฟิลิปปินส์จะเจองานหนักตั้งแต่เดือนแรกที่รับตำแหน่งประธานอาเซียนเลยก็ว่าได้ ซึ่งหลายฝ่ายเตือนว่า การเลือกตั้งในเมียนมาอาจนำไปสู่การยกระดับ ความรุนแรงได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ฟิลิปปินส์คงจะต้องกุมขมับกับปัญหามากมายที่รุมเร้าแน่ ๆ 2026 น่าจะเป็นอีก 1 ปี ที่ประธานอาเซียน ต้องรับบทหนักกับปัญหามากมายที่แก้ได้ยากจริง ๆ วิเคราะห์โดย : ทิพย์ตะวัน ธีรนัยพงศ์ อ่านข่าวอื่น : มติภูมิใจไทย เสนอ "อนุทิน-สีหศักดิ์" เป็นแคนดิเดตนายกฯ "กัมพูชา" ส่งหนังสือทางการขอเจรจา "หยุดยิง" ตามกลไก GBC ดำเนินคดีแม่พาลูกสาวอายุ 12 ปี ค้าประเวณีร้านนวดประเทศญี่ปุ่น