เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2568 บรรยากาศในศูนย์พักพิงชั่วคราวแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเคยรับผู้อพยพจากพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชามากกว่า 10,000 คน ปัจจุบันเหลือเพียงประมาณ 2,000 คน หลังจากสถานการณ์ปะทะเริ่มเบาบางลงและประชาชนทยอยกลับบ้านอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ยังคงพักพิงส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และเด็ก ขณะที่บางครอบครัวซึ่งบ้านอยู่ในพื้นที่สีแดงยังคงลังเลเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย น.ส.นิตยกุล คุ้มสุวรรณ ชาวบ้านจาก อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งอพยพมาอยู่ศูนย์พักพิงมา 18 วันแล้ว เปิดเผยว่า แม้ใจจะอยากกลับบ้านเพื่อทำมาหากิน แต่ก็ขอให้ทหารเร่งรบให้จบโดยเร็ว เพราะเห็นใจทหารแนวหน้าที่เสียสละยืนหยัดปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนมานานหลายวัน โดยมีทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายนาย ซึ่งบางคนไม่ได้กลับไปพบหน้าครอบครัว สร้างความสะเทือนใจให้กับชาวบ้านอย่างมาก เช่นเดียวกับนางเอี้ยง จำปาทอง ชาวอ.บ้านกรวด ซึ่งไม่มั่นใจในสัจจะของทางกัมพูชา จึงไม่แน่ใจว่าการเจรจาครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ และส่วนตัวไม่เชื่อว่ากัมพูชาจะปฏิบัติตามข้อตกลงที่ตกลงกันได้ ขณะที่ จ.สุรินทร์ ศูนย์พักพิงชั่วคราวแห่งหนึ่ง ยังคงมีประชาชนจากพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชานับพันคนพักพิงมานานกว่า 19 วัน บางส่วนสะท้อนว่า แม้จะอยากกลับบ้านแต่ก็ยอมอดทนอยู่ก่อน เพื่อให้ทหารจัดการเรื่องชายแดนให้จบสิ้น ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม แม้จะกลับไปฉลองเทศกาลปีใหม่กับครอบครัวไม่ทัน นางบุญโฮม จำปาคำ ชาว อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กล่าวว่า จะยอมอยู่ต่อเพื่อรอให้สถานการณ์คลี่คลาย และส่งกำลังใจไปยังครอบครัวของทหารที่เสียชีวิต พร้อมแสดงความเสียใจและขอบคุณที่รักษาแผ่นดินไทยไว้ให้ทุกคนอยู่อย่างมีความสุข ส่วนการประชุม GBC นางบุญโฮมไม่เชื่อว่ากัมพูชาจะยอมรับข้อตกลง เพราะหากหยุดยิงไปแล้วก็อาจถูกลอบโจมตีอีกในอนาคต ซึ่งอาจไม่นำไปสู่การหยุดยิงที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง อ่านข่าวอื่น : ทบ.เปิดข้อมูลพบ PMN-2 อีก 4 ทุ่น ใกล้จุดทหารไทยเหยียบกับระเบิด จับแล้ว “ต๊อก” มือยิงตำรวจ - 2 เยาวชนเจ็บ หนีซุกโรงแรมสมุทรปราการ แถลงการณ์ ส.ส.ท.ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีผู้บริหารถูกกล่าวหาใช้รถหลวงไปงานส่วนตัว