เพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วไถหน้าจอครั้งแรก หลายคนอาจเห็นใครบางคนกำลังท่องเที่ยวรอบโลก พอเลื่อนอีกครั้งอาจเจอคนใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบไม่พึ่งเทคโนโลยี และถัดมาอาจเป็นผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังบอกว่า AI จะทำให้เราทำงานเก่งขึ้นและประสบความสำเร็จเร็วกว่าเดิม ภาพเหล่านี้ปรากฏต่อเนื่องไม่รู้จบ จนทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตตัวเอง และรู้สึกว่าสมองกำลังอ่อนล้าอย่างอธิบายไม่ถูก เหมือนสมองกำลังละลายหายไป หากเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก ปัญหานี้เรียกว่า "Brain Rot" หรือ "ภาวะสมองล้า" เป็นคำสแลงที่ได้รับความนิยมบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งผู้คนใช้ระบายความรู้สึก เมื่อเนื้อหาออนไลน์ดูดซับพลังสมอง แทนที่จะเสริมสร้างชีวิตประจำวัน ภาวะสมองล้าไม่ใช่โรคทางการแพทย์ แต่เป็นคำที่อธิบายเนื้อหาโลกออนไลน์ที่คุณภาพต่ำ เช่น คลิปวิดีโอสั้น ที่นำเสนอความตลกแบบไร้สาระ เช่น คลิปการ์ตูนห้องน้ำร้องเพลงแปลกประหลาด หรือมีมตัวเลข 6-7 ที่ไร้ความหมาย แต่กลายเป็นไวรัลโลกโซเชียลที่ติดปาก ติดหู ชาวโซเชียล ที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กเจน Z และ อัลฟา ติเชียนา บูเซค คอนเทนต์ครีเอเตอร์จากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี บอกกับ CNN ว่าเธอรู้สึกเบื่อหน่ายกับภาวะ Brain rot จนต้องผลิตซีรีส์วิดีโอต่อต้านภาวะสมองล้า เพื่ออธิบายว่าสื่อสังคมออนไลน์ทำให้ผู้ใช้งานกลายเป็นผู้ที่ฉลาดน้อยลง วิตกกังวลมากขึ้น และรับรู้โลกน้อยลง ซีรีส์ของบูเซคสอนวิธีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ให้สมดุล โดยเริ่มจากการเข้าใจสาเหตุของการติดงอมแงม สาเหตุที่ทำให้ภาวะสมองล้า คล้ายกับการเสพติดยาเสพติด ดร.คอสตานติโน เอียเดโคลา ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยา จาก Weill Cornell Medicine อธิบายว่าการเลื่อนดูโทรศัพท์โดยไม่ตั้งใจ จะรบกวนการส่งสัญญาณในสมอง โดยเฉพาะส่วนที่ควบคุมสมาธิ ความจำ และการยับยั้งชั่งใจ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การใช้เวลากับคอนเทนต์คุณภาพต่ำจำนวนมาก อาจส่งผลเสียต่อสมองได้จริงในระยะยาว งานวิจัยกับวัยรุ่นที่ติดอินเทอร์เน็ต พบว่าสมองส่วนเหล่านี้ทำงานผิดปกติ หากใช้เวลากับคลิปวิดีโอไร้สาระนานนับชั่วโมง สมองจะปรับตัวให้ชินชากับความตื่นเต้นระยะสั้น จนเนื้อหายาวหรือกิจกรรมในชีวิตจริง เช่น การอ่านหนังสือหรือสนทนากับผู้อื่น กลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและขาดความน่าดึงดูด เนื้อหาคุณภาพต่ำ เช่น คลิปแมวเต้นรำ คลิปมีดผ่าผลไม้ต่าง ๆ ดร.นิธิ คุปตา แพทย์และนักเขียนด้านการเสพติดดิจิทัลในสหรัฐฯ อธิบายว่า สมาธิของมนุษย์มีขีดจำกัด เมื่อมีคอนเทนต์จำนวนมหาศาลแย่งความสนใจ สิ่งสำคัญในชีวิต เช่น สุขภาพ การเรียน การทำงาน ความสัมพันธ์ และการนอนหลับ อาจถูกละเลยโดยไม่รู้ตัว เปรียบคอนเทนต์คุณภาพต่ำเหล่านี้ว่าเป็น "เสียงรบกวนดิจิทัล" ที่ค่อย ๆ ถูกบันทึกลงในสมอง เนื้อหาคุณภาพต่ำเหล่านี้จะกระตุ้นโดปามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความสุขและแรงจูงใจ ทำให้ผู้ชมรู้สึกดีในช่วงสั้น ๆ และอยากเลื่อนดูต่อไปเรื่อย ๆ แต่ในที่สุด มันจะไม่ส่งเสริมการเรียนรู้หรือการพัฒนา ผลกระทบที่ตามมาคือ สมองจะถูกฝึกให้คาดหวังความตื่นเต้นแบบรวดเร็วและรุนแรง เมื่อกลับไปทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิยาว ๆ เช่น อ่านหนังสือ หรือคิดวิเคราะห์เชิงลึก สมองจะรู้สึกเบื่อ เหนื่อย และไม่อยากทำต่อ ผลกระทบในเด็กยิ่งรุนแรง เนื่องจากสมองเด็กกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว หากติดจอแทนที่จะวิ่งเล่นในสนามหรือสนทนากับผู้อื่น จะสูญเสียพัฒนาการสำคัญ ดร.เอียเดโคลา ชี้ว่าเด็กจำเป็นต้องได้รับประสบการณ์หลากหลาย เช่น การสังเกตสีหน้าของผู้อื่น การรับรู้ทางอารมณ์ หรือการแก้ปัญหาในสถานการณ์จริง เพื่อสร้างสมองที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ หากดูแต่คลิปวิดีโอสั้นที่มีจังหวะเร็ว และไร้สาระ เด็กจะมีสมาธิสั้นลง การคิดวิเคราะห์ตื้นเขิน และขาดทักษะทางสังคม ผลการวิจัยระบุว่าเด็กที่ติดสื่อสังคมออนไลน์ เสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าสูงขึ้นร้อยละ 30 นอนหลับไม่สนิทเนื่องจากโดปามีนตกค้าง และพัฒนาการทางภาษาชะงักงันเพราะขาดการสนทนากับบุคคลจริง นอกจากนี้ สุขภาพกายยังถดถอย เช่น โรคอ้วนจากการนั่งนาน ๆ โรคตาเมื่อยล้าจากแสงหน้าจอ สุดท้าย เด็กอาจเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่กังวลง่าย ขาดความมั่นใจ และขาดความสามารถในการทำงานเป็นทีม เนื่องจากคุ้นชินกับโลกเสมือนที่ทุกสิ่งสมบูรณ์แบบ ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะเด็ก ผู้ใหญ่ก็เผชิญภาวะสมองล้าได้เช่นกัน เกิดภาวะสมาธิสั้น ความสัมพันธ์ที่จืดชืดจากการสนทนาน้อยลง สุขภาพจิตถดถอย รู้สึกเปรียบเทียบตนเองกับภาพลวงตาบนฟีด ดร.คุปตา เน้นย้ำว่าการติดจอเป็นปัญหาของคนทุกคน ไม่เฉพาะเยาวชน ผู้ใหญ่ในฐานะผู้ปกครอง ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี หากหยิบโทรศัพท์ขณะขับขี่ยานพาหนะ เด็กจะรับรู้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ และเลียนแบบเมื่อเติบโต การสั่งสอนด้วยวาจานั้นไม่เพียงพอ จำเป็นต้องแสดงพฤติกรรมเป็นตัวอย่างด้วย ลดเสพโซเชียล ลบแอปฯ ร่นเวลาไถฟีด แนวทางป้องกันการเสพติดสื่อสังคมออนไลน์ไม่จำเป็นต้องละทิ้งทั้งหมด เนื่องจากสื่อโซเชียลยังถือว่ามีประโยชน์ เช่น การค้นหาข้อมูลหรือเชื่อมโยงเครือข่ายสังคม ดร.กลอเรีย มาร์ค ศาสตราจารย์ด้านสารสนเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ แนะนำว่า ควรกำหนดขีดจำกัดการใช้ หากบุคคลนั้นเผลออยู่กับหน้าจอนานเกินไป แนวทางปฏิบัติง่าย ๆ กำหนดระยะเวลาไม่เกิน 30-60 นาที/วัน ก่อนเริ่มกิจกรรมสำคัญ เช่น มื้ออาหารหรือการพักผ่อน เพื่อป้องกันการเลื่อนดูไม่สิ้นสุด ลบแอปพลิเคชันออกจากอุปกรณ์ แล้วเข้าผ่านเบราว์เซอร์แทน เป็นวิธีเพิ่มความยุ่งยาก จะได้กระตุ้นการไตร่ตรองก่อนกด ใช้เครื่องมือช่วยเหลือ เช่น Screen Time บนอุปกรณ์ iOS หรือ Digital Wellbeing บน Android เพื่อล็อกการใช้งานอัตโนมัติ สร้างกิจกรรมทดแทน เช่น การเดินเล่น การอ่านหนังสือ หรือการสนทนากับครอบครัวโดยปราศจากหน้าจอ เริ่มจากวันละ 1 ชั่วโมง เป็นแบบอย่างแก่เด็ก โดยวางอุปกรณ์ลงในช่วงมื้ออาหารหรือกิจกรรมครอบครัว พูดคุยเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมทรุด โดยชี้ว่า เนื้อหาคลิปวิดีโอเพลิดเพลินชั่วคราว แต่ชีวิตจริงมีความหมายยิ่งกว่า ปีใหม่นี้ ถือเป็นโอกาสในการตั้งเป้าหมายปรับสมองให้สดชื่น โดยเริ่มจากการลดภาวะสมองล้า ด้วยแนวทางดังกล่าว จะนำไปสู่พลังงานที่เพิ่มขึ้น สมาธิที่แน่วแน่ และความใกล้ชิดกับบุคคลรอบข้างมากยิ่งขึ้น สังคมจำเป็นต้องมีสมองที่สามารถคิดวิเคราะห์ได้ ไม่ใช่สมองที่ถูกครอบงำด้วยการเลื่อนดู หากปฏิบัติได้ ชีวิตจะเต็มเปี่ยมด้วยความเพลิดเพลินและสาระมากกว่าคลิปวิดีโอแมวเต้นรำ คลิปหั่นผลไม้ ตัวการ์ตูนร้องเพลงไม่เป็นภาษา หรือตัวเลข 6-7 ที่ไม่มีความหมาย เพียงไม่กี่วินาที ที่มา : This is ‘brain rot,’ a slang term with something to it อ่านข่าวอื่น : "บิ๊กเล็ก" ลั่นหยุดยิงมีเงื่อนไข วัดความจริงใจกัมพูชา ชาวเมียนมาใช้สิทธิเลือกตั้ง "มิน ออง ไลง์" ย้ำมีความเสรี-เป็นธรรม เซเลนสกีเรียกปูติน "ชายแห่งสงคราม" หลังรัสเซียโจมตีเคียฟนาน 10 ชม. ก่อนเจรจาทรัมป์