วันนี้ (29 ธ.ค.2568) CNN รายงาน การเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามยูเครนยังคงอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา พบหารือกับ ปธน.โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน เป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมงเต็ม ที่รีสอร์ตมาร์-อะลาโก เมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดา แม้การพบกันครั้งนี้จะไม่ก่อให้เกิด "ข้อตกลงครั้งใหญ่" หรือการประกาศยุติสงครามอย่างเป็นรูปธรรม แต่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับตรงกันว่า การเจรจาได้ขยับเข้าใกล้เป้าหมายมากกว่าที่เคยเป็นมา ก่อนการพบปะ ระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และยูเครน ทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับ ปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เป็นเวลากว่า 1.15 ชั่วโมง โดยฝ่ายเครมลินระบุว่า การสนทนาเป็นไปในบรรยากาศเชิงบวก และทั้ง 2 ผู้นำเห็นพ้องกันว่า การหยุดยิงชั่วคราวอาจไม่ใช่คำตอบ และอาจทำให้ความขัดแย้งยืดเยื้อออกไปมากกว่าเดิม นอกจากนี้ ปูตินยังเห็นชอบกับข้อเสนอของทรัมป์ในการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ เพื่อเดินหน้าหารือแนวทางสันติภาพในระยะยาว หลังจากนั้นไม่นาน เซเลนสกีเดินทางถึงมาร์-อะลาโก และจับมือทักทายทรัมป์ต่อหน้าสื่อมวลชน ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าสู่การประชุมในห้องรับรองหลักของรีสอร์ต ซึ่งทรัมป์ระบุว่าเป็นการหารืออย่างตรงไปตรงมา ครอบคลุมทุกมิติของแผนสันติภาพ 20 ข้อที่สหรัฐฯ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการผลักดัน ภายหลังการประชุม ทรัมป์แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า การเจรจามีความคืบหน้าอย่างมาก และเขาเชื่อว่าข้อตกลง "ใกล้มาก" แต่ยังไม่ถึงขั้นรับประกันได้ว่าจะสำเร็จ โดยยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า การเจรจายังคงซับซ้อน และอาจมีประเด็นที่คาดไม่ถึงเพียงข้อเดียว ซึ่งสามารถทำให้ข้อตกลงทั้งหมดพังลงได้ ทรัมป์ย้ำว่าเขาไม่มีเส้นตายสำหรับการยุติสงคราม เพราะเป้าหมายสำคัญที่สุดคือการยุติความรุนแรง ไม่ใช่การแข่งกับเวลา ผู้นำสหรัฐฯ ยังกล่าวด้วยว่า สงครามยูเครนอาจเดินไปได้เพียง 2 ทาง คือจบลงในช่วงเวลานี้ หรือยืดเยื้อออกไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งทรัมป์มองว่าช่วงเวลานี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะผลักดันให้เกิดสันติภาพ แม้จะยังมี 1 - 2 ประเด็นที่ยุ่งยากอย่างยิ่ง และยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ด้านเซเลนสกีเปิดเผยว่า จากแผนสันติภาพ 20 ข้อ ขณะนี้มีความเห็นพ้องร่วมกันแล้วประมาณร้อยละ 90 โดยเฉพาะในประเด็นด้านความมั่นคงและมิติทางทหาร ซึ่งสหรัฐฯ และยูเครนเห็นตรงกันอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม อีกร้อยละ 10 ที่เหลือ ถือเป็นส่วนที่ยากที่สุด และเป็นหัวใจของความขัดแย้งทั้งหมด โดยเฉพาะชะตากรรมของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซีย และปัญหาดินแดนพิพาทในภูมิภาคดอนบาส ทางตะวันออกของยูเครน ทรัมป์ยอมรับว่า ดอนบาสเป็น 1 ในประเด็นที่รัสเซียให้ความสำคัญสูงสุด และเป็นเงื่อนไขหลักที่มอสโกต้องการผลักดันให้สำเร็จผ่านการเจรจา หลังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ด้วยกำลังทางทหาร ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่าการพูดคุยในประเด็นนี้กำลังเข้าใกล้จุดตกลงมากขึ้น แม้จะยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เซเลนสกีย้ำจุดยืนของยูเครนอย่างชัดเจนว่า การตัดสินใจใด ๆ เกี่ยวกับดินแดน จะต้องเป็นไปตามกฎหมายและเจตจำนงของประชาชน โดยเขาระบุว่า ยูเครนสามารถจัดประชามติในประเด็นใดก็ได้ของแผนสันติภาพ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องดินแดนเท่านั้น พร้อมย้ำว่าแผ่นดินเป็นของประชาชนยูเครนทั้งชาติ ไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และเป็นมรดกที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ทั้งนี้ เขายังเปิดช่องให้รัฐสภายูเครนมีบทบาทในบางกระบวนการ แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดชัดว่าการโอนดินแดนต้องผ่านประชามติของประชาชนเท่านั้น บรรยากาศของการพบกันครั้งนี้ถูกจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความแตกต่างอย่างชัดเจน จากการพบกันก่อนหน้าในเดือน ก.พ. ที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด และเคยมีการตำหนิผู้นำยูเครนเรื่องท่าทีและคำขอบคุณต่อสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ ทรัมป์กล่าวชื่นชมเซเลนสกีอย่างเปิดเผย ขณะที่ผู้นำยูเครนกล่าวขอบคุณทรัมป์ทั้งในช่วงเริ่มต้นและตอนจบของการแถลงข่าว สะท้อนความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์และสร้างบรรยากาศเชิงบวก หลังเสร็จสิ้นการหารือ ทรัมป์และเซเลนสกี ยังได้ร่วมสนทนาทางโทรศัพท์กับผู้นำยุโรปหลายประเทศ รวมถึงผู้นำฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ อิตาลี โปแลนด์ นอร์เวย์ ฟินแลนด์ เลขาธิการนาโต และประธานคณะกรรมาธิการยุโรป โดยผู้นำยุโรปต่างแสดงความยินดีต่อความคืบหน้าที่เกิดขึ้น และย้ำว่าหลักประกันด้านความมั่นคงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของสันติภาพที่ยั่งยืน เซเลนสกีระบุเพิ่มเติมว่า ทีมเจรจาของยูเครนและสหรัฐฯ อาจกลับมาหารือกันอีกครั้ง เร็วที่สุดคือสัปดาห์หน้า เพื่อปิดรายละเอียดในส่วนที่ยังคงค้างอยู่ พร้อมระบุว่าทรัมป์ตกลงจะเป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้นำยูเครนและยุโรปที่กรุงวอชิงตันในเดือน ม.ค. ปีหน้า ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยืนยันว่าจะสนทนากับปูตินอีกครั้ง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะข้อตกลงใด ๆ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากรัสเซียไม่ให้ความเห็นชอบ อย่างไรก็ตาม ภาพการเจรจาที่ดำเนินไปในฟลอริดา ตัดกับสถานการณ์จริงในสนามรบอย่างชัดเจน ในวันเดียวกัน รัสเซียยังคงโจมตียูเครนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการทิ้งระเบิดในเมืองสโลเวียนสก์ และการยิงถล่มเมืองเคอร์ซอน ขณะที่กรุงเคียฟเพิ่งเผชิญการโจมตีทางอากาศครั้งยาวนานที่สุดของปี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ท่ามกลางสภาพอากาศฤดูหนาวที่รุนแรง อ่านข่าวอื่น : เซเลนสกีเรียกปูติน "ชายแห่งสงคราม" หลังรัสเซียโจมตีเคียฟนาน 10 ชม. ก่อนเจรจาทรัมป์ "ทรัมป์" ยินดีไทย-กัมพูชาหยุดยิง โวยุติสงครามแล้ว 8 ศึก