การเลือกตั้งในเมียนมาที่เปิดฉากรอบแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2025 เป็นการเลือกตั้งที่ได้รับการขนานนามว่าทั้งไม่เสรี ไม่ยุติธรรมและเชื่อถือไม่ได้ ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทั้งการจัดเลือกตั้งไม่ได้ครบทั้งประเทศ การที่พรรคการเมืองขั้วตรงข้ามกับกองทัพไม่มีโอกาสลงชิงเก้าอี้ การใช้กฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้งจัดการกับผู้เห็นต่าง และยังไม่นับที่ตามรัฐธรรมนูญมีการจัดสรรโควตาให้ทหารอยู่ก่อนแล้วอีกต่างหาก นิ้วเปื้อนหมึก พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มของ พล.อ.อาวุโสมิน ออง ไลง์ เกิดขึ้นหลังการออกมาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งที่จัดขึ้นครั้งแรกในรอบเกือบ 5 ปี หลังการก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนที่ชนะการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2021 ผู้สื่อข่าวใช้จังหวะนี้ถามคำถามผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาว่า เขาต้องการนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้คือ ตัวเองยังเป็นข้าราชการและเป็นผู้นำกองทัพ อยู่ ๆ คงจะไปขอเป็นประธานาธิบดีไม่ได้ เพราะไม่ใช่หัวหน้าพรรคการเมืองด้วย ดังนั้นจนกว่าจะเปิดสภา ซึ่งมีกระบวนการตามครรลองอยู่แล้ว หลังจากนั้นจึงจะบอกได้ว่าจะไปอยู่ตรงไหนได้บ้าง นอกเหนือจากหน่วยเลือกตั้งที่มิน ออง ไลง์ ไปใช้สิทธิแล้ว ภาพรวมการเลือกตั้งรอบแรกในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ค่อนข้างเงียบเหงา มีคนออกมาใช้สิทธิประปรายตามเมืองใหญ่ ซึ่งผู้ที่ออกมาใช้สิทธิจำนวนหนึ่งมีความหวัง แต่ส่วนหนึ่งบอกกับสื่อว่าออกมาใช้สิทธิเพราะไม่อยากมีปัญหา หากย้อนดูภาพการเลือกตั้งครั้งก่อน เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2020 ผู้คนมากหน้าหลายตาตื่นตัวออกมาใช้สิทธิ ทั้งที่อยู่ในช่วงการระบาดของโควิด-19 และยังต้องสวมหน้ากากอนามัย ใส่อุปกรณ์ป้องกันออกมาจากบ้าน แต่ดูไม่เป็นอุปสรรคต่อการมาลงคะแนนในการเลือกตั้งที่พรรค NLD ของออง ซาน ซู จี คว้าชัยชนะถล่มทลาย กระทั่งกองทัพเมียนมากล่าวหาว่าเป็นชัยชนะที่มาจากการทุจริต จนก่อรัฐประหารในอีกเกือบ 3 เดือนให้หลัง การเลือกตั้งในปี 2020 พรรค NLD กวาดที่นั่งในสภาถึง 83% ได้อย่างชอบธรรม หากดูจากตัวเลขผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิถึง 70% จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนใช้สิทธิมากกว่า 37 ล้านคน ความตื่นตัวของชาวเมียนมาในปีนั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับการเลือกตั้งปี 2015 ที่ได้ชื่อว่าเป็นการเลือกตั้งเสรีครั้งแรกในรอบ 25 ปี ซึ่งประชาชนออกมาใช้สิทธิถึง 69% จนพรรค NLD สามารถเอาชนะพรรค USDP ที่กองทัพหนุนหลัง จนเปลี่ยนผ่านสู่การมีรัฐบาลพลเรือนได้สำเร็จ ขณะที่การเลือกตั้งรอบแรกเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2025 แม้ยังไม่มีตัวเลขทางการออกมา แต่สื่อบางสำนักรายงานอ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่าพบเห็นคนมาใช้สิทธิเพียงประมาณ 1 ใน 3 เท่านั้น ซึ่งหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปและนำไปประเมินจากตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งที่แล้ว อาจเป็นไปได้ว่ามีชาวเมียนมาที่ได้ออกเสียงจริงๆ เพียงไม่ถึง 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งต่อให้มีตัวเลขทางการออกมาในภายหลัง เรื่องความน่าเชื่อถือก็อาจเป็นที่กังขาอีก เหมือนการเลือกตั้งปี 2010 ที่ถูกวิจารณ์ไม่ต่างจากปี 2025 ว่าเป็นการเลือกตั้งย้อมแมว และรัฐบาลทหารบังคับให้คนใช้สิทธิล่วงหน้า รวมถึงกดดันข้าราชการให้เลือกพรรคทหารด้วย ประธานสมาคมเยาวชนเมืองมรัคอูในรัฐยะไข่ เป็นคนหนึ่งที่ให้ความเห็นว่าการเลือกตั้งไม่ได้มีความหมายสำหรับพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งยิ่งแย่กว่าครั้งก่อนๆ เพราะไม่ได้มีหลายพรรคให้เลือก อีกทั้งยังจัดเลือกตั้งไม่ครบทุกพื้นที่ ตัวเขาเองไม่ได้ใส่ใจเรื่องการเลือกตั้งและเพิ่งจะตระหนักว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อวัน 2 วันนี้ นี่ถือเป็นเสียงหนึ่งจากพื้นที่ความขัดแย้ง ที่แม้แต่การเลือกตั้งในสมัยที่เมียนมามีรัฐบาลพลเรือน ก็ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้น ขณะที่ล่าสุดเมืองนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกองทัพอาระกัน เพิ่งเผชิญเหตุสูญเสียครั้งใหญ่หลังกองทัพเมียนมาถล่มโรงพยาบาล จนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน การเลือกตั้ง 3 รอบที่จะกำลังเกิดขึ้นในเมียนมาตลอดช่วงราวๆ 1 เดือนนี้ ไม่ใช่แค่รัฐยะไข่เท่านั้นที่จัดเลือกตั้งไม่ได้ครบทุกพื้นที่ เพราะรวมแล้วมีถึง 65 เมืองจากทั้งหมด 330 เมืองทั่วประเทศที่ไม่มีกำหนดจัดการเลือกตั้ง ซึ่งในจำนวนนี้อยู่ในซะไกง์ ยะไข่และชานแล้ว 45 เมือง หลักๆ เพราะแถบนี้เป็นพื้นที่ขัดแย้งหรืออยู่ในการควบคุมของกลุ่มต่อต้าน ซึ่งเฉพาะบริเวณที่ไม่ได้จัดการเลือกตั้งคิดเป็นสัดส่วนถึงเกือบ 1 ใน 5 ของทั้งประเทศแล้ว กลุ่มที่สนับสนุนประชาธิปไตยต่างๆ รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์จะไม่ได้ออกเสียงในการเลือกตั้ง ที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็มีแต่ผู้สมัครจากพรรคการเมืองของทหารให้เลือก นอกจากนี้ยังไม่นับชาวโรฮิงญาอีกนับล้านที่หนีภัยความรุนแรงไปยังบังกลาเทศตั้งแต่เมื่อปี 2017 การเลือกตั้งที่พรรคเล็กไม่มีสิทธิส่งผู้แทนลงสมัคร เพราะไม่เข้าเกณฑ์ตามกฎหมายเลือกตั้งและมีผู้สมัครจากพรรค USDP ถึงกว่า 1 ใน 5 ของทั้งหมด ปรากฏว่าบทบาทของผู้สังเกตการณ์นานาชาติก็จางหายไปในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย โดยมีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่ยังส่งผู้สังเกตการณ์เข้าร่วมตามคำเชิญของรัฐบาลทหารเมียนมา ได้แก่ รัสเซีย จีน อินเดีย คาซัคสถาน เวียดนามและกัมพูชา ขณะที่สื่อบางสำนักรายงานว่ามีผู้สังเกตการณ์จากเบลารุสและนิการากัว เข้าร่วมด้วย ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากองค์การระหว่างประเทศถึงความไม่ชอบธรรมของการเลือกตั้งครั้งนี้ สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครจะได้ที่นั่ง รัฐธรรมนูญเมียนมาก็เขียนไว้ให้ทหารได้ครองเก้าอี้ 1 ใน 4 ของสภา เมื่อรัฐบาลใหม่จะเริ่มทำหน้าที่ในเดือน เม.ย.2026 ปัจจัยต่างๆ ที่ประกอบกันแล้วยิ่งตอกย้ำว่าไม่เห็นวี่แววประชาธิปไตยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจจะยิ่งสร้างความแตกแยกทางการเมือง และทำให้เมียนมาอยู่ในสถานะรัฐล้มเหลวต่อไปอีก สวนทางกับเป้าหมายที่กองทัพเมียนมาพยายามจะสร้างความชอบธรรมและแสวงหาการยอมรับในเวทีโลก ซึ่งโจทย์ยากจะตกอยู่กับเพื่อนบ้านที่ต้องรับมือสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาเป็นเงาตามตัว อ่านข่าว เมียนมาเสริมกำลัง จ.เมียวดี ถูกโจมตี สนง.พรรค-หน่วยเลือกตั้ง ชาวเมียนมาใช้สิทธิเลือกตั้ง "มิน ออง ไลง์" ย้ำมีความเสรี-เป็นธรรม "เมียนมา" ยกเลิกเคอร์ฟิวนครย่างกุ้ง ก่อนเลือกตั้ง 28 ธ.ค.