ไทย-เขมร ลงนามหยุดยิง ตั้งแต่ตอนเที่ยงวันที่ 27 ธ.ค.2568 ในหลายคลิปภาพที่ชาวกัมพูชาลงไว้ มีความพยายามที่จะกลับมายังพื้นที่อธิปไตยที่เคยเข้ามาปลูกสร้างบ้านเรือนไว้ ทั้ง บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว มีข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า “พล.อ.เตีย เซ็ยฮา” รองนายกฯกัมพูชาและรมว.ป้อง กันชาติ มีการเจรจาขอให้ คนเขมรกลับมาอยู่พื้นที่เดิมที่เป็นราชอาณาจักรไทย แต่ไทยเมินข้อเรียกร้องและไม่สนใจต่อการร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นการพักอาศัยชั่วคราว หรืออื่นใด เช้าวันนี้ ( 29 ธ.ค.2568) ฮุน มาเนต โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Hun Manet เพื่อปลอบใจคนกัมพูชา ช่วงหนึ่งมีข้อความระบุว่า ...การตัดสินใจยอมรับการหยุดยิงนี้ มิได้หมายความว่ากัมพูชายอมแพ้ หรือยินยอมแลกบูรณภาพแห่งดินแดนกับสันติภาพ และไม่ใช่การสูญเสียศักยภาพหรือการสละสิทธิในการป้องกันตนเอง ตรงกันข้าม การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชาเลือกหนทางแห่งสันติภาพ และให้ความสำคัญสูง สุดกับชีวิต ความเป็นอยู่ และความปลอดภัยของประชาชน แม้ต้องเผชิญแรงกดดันหรือความยากลำบากใด ๆ ก็ตาม “เงื่อนไขการหยุดยิงยังเปิดทางให้ประชาชนผู้พลัดถิ่นในพื้นที่ชายแดน สามารถเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย มีศักดิ์ศรี และปราศจากอุปสรรค ผมได้สั่งการไปยังกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้จัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยและประสานงาน เพื่อให้พี่น้องผู้พลัดถิ่นสามารถกลับสู่ภูมิลำเนาได้โดยเร็วที่สุด ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่ปลอดภัย รัฐบาลจะจัดหามาตรการรองรับต่อไป” ข้อความในเฟสบุ๊ก Hun Manet ระบุ และยังมีข้อความต่อว่า เพื่อยุติการเสียสละและการบาดเจ็บของทหาร ตำรวจ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งจนถึงขณะนี้ มีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 32 ราย และบาดเจ็บ 93 ราย ...หลังจากการหยุดยิงดำเนินไปครบ 72 ชั่วโมง ทหารกัมพูชา 18 นาย จะได้รับการปล่อยตัวกลับประเทศ สอดคล้องกับแถลงการณ์ร่วมกรุงกัวลาลัมเปอร์ ลงวันที่ 26 ตุลาคม 2025 ตลอดระยะเวลาการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาครั้งที่สอง ในเวลา 20 วัน แม้จะไม่พบข้อมูลการสูญเสียทหารกัมพูชาอย่างเป็นทางการ คงมีเพียงการโพสต์ข้อมูลของทหารและประชาชนเขมร โดยเฉพาะภาพข้าวสาร 1 กระสอบ และผงซักฟอก ที่นำมาวางเรียงกันเป็นแถวยาวจากรัฐบาลกัมพูชา มอบให้เป็นของปลอบใจแก่ครอบครัวทหารเขมร 1 ชีวิต ขณะที่ทหารไทยหลังเอาพื้นที่คืนกลับมาได้ และเข้าไปปักธงไทยแสดงสัญลักษณ์แผ่นดินไทยพร้อมนำรั้วลวดหนามไปล้อมรอบแสดงอาณาเขต และยังต้องดำเนินงานด้านมนุษยธรรมเก็บร่างของทหารเขมร ในหลายๆ พื้นที่การสู้รบ เพื่อไม่ให้เป็นทัศนอุดจาด และป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค ด้าน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก สรุปสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2568 ว่า “หยุดยิง” ให้ ฮุน เซน อกแตกตายไปเลย การหยุดยิงนั้น คนในกัมพูชาเองก็มีความคิดแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ • ฝ่ายที่ต้องการรบต่อไป คือ ฮุน เซน และ พวกเลียแข็งเลียขาไม่กี่คน • ฝ่ายที่ต้องการหยุดรบ คือ ฮุน มาเนต กลุ่มทหารชายแดน และประชาชนส่วนใหญ่ พล.ท.นันทเดช วิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ ฮุน เซน ถึงต้องการรบต่อ เพราะสันดาน เผด็จการที่ติดตัวมา และความที่เป็นคนรักหน้าตัวเองมากกว่าชีวิตคนอื่น และยังรู้เรื่องเมืองไทยดีกว่านักการเมืองไทยบางคนเสียอีก ว่า ( 1) ประชาชนคนไทยหลายแสนคนเริ่มเบื่อศูนย์พักพิง คิดถึงสัตว์เลี้ยง ห่วงบ้าน ห่วงพืชผลที่ปลูกไว้ อยากได้ความสะดวกสบายเหมือนเวลาอยู่ที่บ้านกลับคืนมา ฯลฯ แต่ด้วยความรักชาติพวกเขาจึงยังทนอยู่ได้ แม้ใกล้ที่จะหมดความอดทนเต็มที ดังนั้นจึงมีนักการเมืองบางคนเข้าไปยั่วยุให้ท้ายชาวบ้าน เพราะกลัวว่า รัฐบาลจะได้คะแนนเสียงดีขึ้นมาเรื่อย ๆ (2) ไทยกำลังจะมีการเลือกตั้ง จึงวุ่นกันไปหมดทุกพรรคการเมือง ดังนั้น ไม่ว่าจะหยุดยิงหรือไม่หยุดยิง นักการเมืองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่ถ้าต่อเวลารบกันไปนานเข้า รัฐบาลก็ต้องโดนด่าแน่นอน (3) ฮุน เซน รู้ว่า ถ้าไม่หยุดยิงจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ของไทย มากกว่ากัมพูชา ร้อยเท่า พันเท่า (4) พ่อค้าชายแดนหลายคน ที่มีผลประโยชน์จาก การค้า ทั้งของเถื่อน และกลุ่มสแกรมเมอร์ อีกหลายร้อยคน ต้องการให้หยุดยิง พวกนี้มีอิทธิพลต่อชาวบ้านมากพอควร (5) ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ประเทศมหาอำนาจก็จะต้องเข้ามาหยุดเรื่องนี้ ให้จบให้ได้ก่อนปีใหม่ ทั้งไทย-กัมพูชา หนีไม่พ้น และ ฮุน เซน เห็นว่าทหารกัมพูชาพอจะสู้ได้อีกระยะหนึ่ง (6) พื้นที่ ที่ทหารไทย ยึดคืนมาได้มีอย่างน้อย4 แห่งที่ ทหารเขมรอยู่มานานตั้ง10กว่าปีแล้ว ชำนาญพื้นที่มากกว่าทหารไทย มีพิกัดยิงอาวุธยาวกลับมา ได้อย่างแม่นยำ เมื่อพวกเขมรถอยออกไปแล้ว การรักษาพื้นที่เหล่านี้จึงลำบากพอสมควร ด้วยเหตุผลดังกล่าว ฮุน เซน จึงพยายามยั่วยุให้ไทยใช้กำลังทางอากาศ ให้มากและลึกเข้าไปในเขตกัมพูชา โดยให้ทหารเขมร ยิงอาวุธยาวไม่เลือกชนิด เข้ามาในเขตชุมชนของพลเรือนไทย ทำให้ไทยต้องใช้กำลังทางอากาศมากขึ้น จากนั้นเขมรก็จะแสดงบทบาทของประเทศเล็กที่ตกเป็น “เหยื่อ“ เพื่อให้มหาอำนาจเข้ามาไกล่เกลี่ย ก็จะทำให้ ฮุน เซน ไม่เสียหน้า แต่ก็ผิดหวังเรื่อยมา เพราะเครื่องบินไทยทิ้งระเบิดแต่เป้าหมายทางทหารเท่านั้น การหยุดยิงครั้งนี้จึงถือว่าเป็นจังหวะที่ดี และเหมาะสมที่สุด เพราะไทยเราเป็นต่อทั้งด้านการทูต และสนามรบ และยังได้ใจประเทศมหาอำนาจอีกด้วย สิ่งสำคัญที่สุด คือ ไทยไม่ได้เป็นศัตรูกับคนกัมพูขา แต่เป็นศัตรูกับ ฮุน เซน คนเดียว วันนี้ ( 29 ธ.ค.2568) หน้าเพจ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยเผยแพร่ภาพ นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและรมว.ต่างประเทศ ได้เข้าพบกับนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศของไทย ที่เมืองหยูซี มณฑลยูนนาน “จีนมีความห่วงใยต่อสถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และเสียใจต่อการสูญ เสียชีวิตและการพลัดถิ่นของพลเรือนที่เกิดจากความขัดแย้ง ...และไม่อยากเห็นทั้งสองฝ่ายปะทะกันมากที่สุด และปรารถนามากที่สุดที่จะเห็นทั้งสองประเทศปรองดองกัน ด้วยความพยายามของทุกฝ่าย กองทัพไทยและกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งเป็นก้าวแรกสู่สันติภาพที่จีนยินดีเป็นอย่างยิ่ง” นายหวังอี้ ยังบอกอีกว่า หลังจากสงครามยุติลง การทูตควรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การสร้างสันติภาพขึ้นใหม่เป็นความปรารถนาของประชาชนและความคาดหวังของทุกฝ่าย ความพยายามของจีนในการส่งเสริมการเจรจาสันติภาพไม่เคยเป็นการบังคับผู้อื่น หรือล้ำเส้นขอบเขต แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นเวทีที่ผ่อนคลายสำหรับการเจรจา “ตราบใดที่ไทยและกัมพูชาสื่อสารกันอย่างเท่าเทียมและก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ก็จะไม่มีอุปสรรคใดที่เอาชนะไม่ได้ จีนจะยังคงพยายามอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูสันติภาพในไทยและกัมพูชา สนับสนุนอาเซียนในการทำหน้าที่อย่างเหมาะสม และยินดีให้ความช่วยเหลือแก่คณะผู้สังเกตการณ์ของอาเซียนในการติดตาม ตรวจสอบการหยุดยิง ตลอดจนให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนของทั้งไทยและกัมพูชาที่ต้องการความช่วยเหลือ” ขณะที่นายสีหศักดิ์ ระบุว่าข้อตกลงหยุดยิงที่ลงนาม เมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ การใช้กำลังระหว่างประเทศเพื่อนบ้านไม่ใช่ทางเลือกของไทย ไทยมุ่งมั่นที่จะบรรลุการหยุดยิงที่ยั่งยืนและแสวงหาสันติภาพที่แท้จริง ยินดีที่จะมองไปข้างหน้าและก้าวไปข้างหน้า ผ่านช่องทางทวิภาคี รักษาท่าที สันติภาพและความสงบสุขตามแนวชายแดนและในภูมิภาค ล่าสุด ฮุน เซน โพสต์แถลงการณ์ จากสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการกิจการชายแดน หรือ SSBA ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ข้อความสำคัญระบุว่า การขอนัดประชุมร่วมกับคณะกรรมการชายแดนร่วม ( JBC )ของฝ่ายไทย เพื่อเร่งดำเนินการสำรวจและปักปันเขตแดนให้ชัดเจน มีกำหนดการภายในเดือนม.ค.ที่เมืองเสียมราฐ กัมพูชา และย้ำว่า กัมพูชาจะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้กำลัง อ่านข่าว “ปิดช่องคานม้า-ยึดเนิน 225” เผด็จศึกกัมพูชา สถาปนาอำนาจรัฐไทย ส่องนโยบายมั่นคง 5 พรรค “สร้างรั้ว-รับทหารอาสา-ยกเลิกเกณฑ์ทหาร”